อาร์เซนอล ชน ลิเวอร์พูล การต่อสู้ด้านแท็คติกในแดนกลางของ 2 ยอดกุนซือ - OPINION
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
การเสมอกัน 2-2 ระหว่าง อาร์เซนอล และ ลิเวอร์พูล ในบิ๊กแม็ตช์ พรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันอาทิตย์ ถือเป็นเกมที่เรียกได้ว่าสู้กันในการวางแท็คติกแดนกลาง ซึ่งทั้ง 2 กุนซือต่างงัดเอากลยุทธ์ที่น่าสนใจมาห้ำหั่นกันจนจบ 90 นาที
จริงอยู่ที่ผลเสมอไม่ดีกับทั้งคู่ เพราะส่งให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก้าวขึ้นไปรั้งตำแหน่งจ่างฝูงได้สำเร็จจากเฉือนชนะ เซาแธมป์ตัน เมื่อวันเสาร์ แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า นี่คือสกอร์ที่เหมาะสมที่สุดกับเกมที่สูสีคู่คี่กันขนาดนี้
เมื่อกางดูภาพรวมของบิ๊กแม็ตช์นี้จะพบกว่า ครึ่งแรกเป็นของเจ้าถิ่นอย่างชัดเจน มิเกล อาร์เตต้า รู้ว่าจุดแข็งของ ลิเวอร์พูล คือพื้นที่กลางสนาม เขาจึงวางแผนให้ เลอันโดร ทรอสซาร์ด และ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ต้องคอยถอยลงมาช่วยแดนกลางเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เล่น ทำให้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก 2 มิดฟิลด์ หงส์แดง ที่ต้องคุมเกมและตัดบอล ต้องเหนื่อยหนักในการรับมือกับการโอเวอร์โหลดนี้
ในขณะที่ครอบครองพื้นที่กลางสนาม กุนซิอชาวสแปนิชก็จัดการใช้จุดแข็งของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ด้วยการส่ง บูคาโย ซาก้า ลงเล่นฝั่งขวา เพื่อทำหน้าที่คุกคาม แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ตั้งแต่ต้นเกม และมันก็ได้ผล เมื่อเขาควบบอลที่ได้จากการวางยาวของ เบน ไวท์ เข้าไปยิงเสาแรกเป็นประตูขึ้นนำตั้งแต่ยังไม่ถึง 10 นาทีแรก
อาร์เนอ ชล็อต ก็ขึ้นชื่อเรื่องการแก้เกมเช่นกัน เมื่อภาพรมของ ลิเวอร์พูล ดูย่ำแย่ใน 45 นาทีแรก เขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในช่วงพักครึ่ง ด้วยการดึง เคอร์ติส โจนส์ ที่ดูจะทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันตลอดครึ่งแรก ลงมาเล่นในแนวลึกขึ้นเพื่อสร้างสามเหลี่ยมในแดนกลาง จุดนี้ทำให้ "หงส์แดง" กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
นอกจากนั้น ชล็อต ยังมีการเปลี่ยนตัวที่ชาญฉลาดด้วยการส่ง โดมินิค โซบอสซ์ไล ลงมาแทน แม็ค อัลลิสเตอร์ ในนาทีที่ 63 การเปลี่ยนแปลงนี้เองที่ทำให้ ลิเวอร์พูล มีความแข็งแกร่งในแดนกลางมากขึ้น พละกำลังและการกดดันของ โซโบ ทำให้กองกลาง อาร์เซนอล ผ่านบอลกันได้ยากขึ้น
จังหวะประตูตีเสมอของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนแท็คติกที่ยอดเยี่ยม บอลเริ่มจาก โซบอสซ์ไล ที่ลงมาเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุก ผ่านมาที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แทงต่อให้ ดาร์วิน นูนเญซ ก่อนจะจบลงที่เท้าของดาวยิงชาวอียิปต์
อาร์เตต้า เผชิญกับปัญหาใหญ่เมื่อต้องเสียทั้ง กาเบรียล และ ยูเรียน ทิมเบอร์ จากอาการบาดเจ็บ ทำให้ต้องปรับแผนรับมือในช่วง 20 นาทีสุดท้าย แต่แม้ ลิเวอร์พูล จะครองบอลได้ถึง 58 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับสร้างโอกาสยิงได้เพียง 2 ครั้งเท่านั้น
สถิติที่น่าสนใจคือ ทีมของ ชล็อต ยังคงไม่แพ้ใครในเกมเยือนทุกรายการ ทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกนับตั้งแต่ปี 1923 ที่ไม่แพ้ 7 เกมแรก ขณะที่ เดอะกันเนอร์ส ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งแม้จะต้องปรับเปลี่ยนแนวรับจนแทบจำหน้าไม่ได้ก็ตาม
สำหรับผู้เล่นที่โดดเด่นในเกมนี้ของฝั่งเจ้าบ้าน ต้องยกให้ มิเกล เมอริโน ที่สมควรได้รับคำชมเป็นพิเศษ จากสถิติการเข้าสกัดและเข้าปะทะได้มากถึง 5 ครั้ง เป็นรองแค่ โธมัส ปาร์เตย์ เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและความสำคัญของเขาในเกมนี้
ในท้ายที่สุดการเสมอ 2-2 ถือเป็นผลการแข่งขันที่สมเหตุสมผลสำหรับทั้งสองทีม แม้ว่ามันจะทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นนำเป็นจ่าฝูง แต่เส้นทางยังเหลืออีกยาวไกล การรักษาความสมดุลและการปรับเปลี่ยนแท็คติกของทั้งสองทีมทำให้เกมนี้กลายเป็นหนึ่งในเกมที่น่าจดจำของฤดูกาล