ไฮเดนไฮม์ 0-2 เชลซี : เก็บตกประเด็นหลังเกม สิงห์ไฮโซ ยึดจ่าฝูง คอนเฟอเรนซ์ลีก ต่อเนื่องหลังบุกยิง ไฮเดนไฮม์ ถึงถิ่น
- เชลซี ยังคงยึดจ่าฝูง คอนเฟอเรนซ์ลีก ได้หลังบุกไปอัด ไฮเดนไฮม์ 2-0
- เจดอน ซานโช่ กลับมาโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมด้วยการทำไปคนเดียว 2 แอสซิสต์
- เอ็นคุนคู ยิงได้อีกแล้ว แต่คงต้องถามตัวเองถึงเรื่องอนาคตกับ เชลซี
รายการ | ยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ลีก 2024/25, รอบ ลีกสเตจ, นัด 4 |
---|---|
วันแข่งขัน | คืนวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน 2567 |
สนาม | ฟอยธ์-อารีน่า |
ผลการแข่งขัน | ไฮเดนไฮม์ 0-2 เชลซี |
ซานโช่ กลับมาฟอร์มโคตรโหด
หลังไม่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้ เชลซี นานร่วมเดือน วันนี้ เจดอน ซานโช่ ได้รับโอกาสลงเป็น 11 ตัวจริงในตำแหน่งริมเส้นฝั่งขวาทดแทน โนนี่ มาดูเอเก้ และ เปโดร เนโต้ ที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูร่างกาย และก็ต้องบอกว่า ซานโช่ โชว์ฟอร์มออกมาได้ไฉไลเลยทีเดียว
ตลอดทั้งเกม 90 นาที แม้ ไฮเดนไฮม์ จะเป็นทีมอันดับ 15 จาก บุนเดสลีกา เยอรมัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเตรียมตัวมารับมือ เชลซี ได้ดีจริง ๆ โดยเฉพาะนายทวารอย่าง เควิน มุลเลอร์ ที่โชว์ฟอร์มเซฟปาฏิหาริย์หลายครั้งจนความกดดันเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ ทางฝั่งตัวรุก เชลซี แต่ ซานโช่ ที่พยายามสร้างสรรค์เกมครั้งแล้วครั้งเล่าก็สามารถสร้างความแตกต่างได้ในที่สุด
ลีลาการกระชากลากเลื้อยของ ซานโช่ ว่ากันตามตรงว่าแทบจะผ่านกองหลังฝั่งตรงข้ามได้ตลอด จนนาทีที่ 51 เจ้าตัวพาบอลตะลุยเข้ามาในกรอบเขตโทษก่อนจะฝากให้ เอ็นคุนคู ได้ยิงประตูขึ้นนำเข้าไปสำเร็จ และมาย้ำอีกครั้งในช่วงท้ายเกมที่ ซานโช่ วิ่งทำทางสวย รับบอลจาก ดิวส์บิวรี-ฮอลล์ แล้วปาดให้ มูดริก ได้ยิงเข้าไปเป็นประตูปิดกล่อง
2 แอสซิสต์ที่ทำได้ในวันนี้เสริมให้ชื่อของ ซานโช่ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งตัวจริงทางริมเส้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ถือเป็นเรื่องที่ดีของ เชลซี ที่จะคอยมีตัวรุกคุณภาพไว้สลับใช้งานหมุนเวียนได้เรื่อย ๆ ท่ามกลางรายการแข่งขันสุดอัดแน่นในปีนี้
ถึงเวลาของ ยอร์เกนเซ่น แล้วหรือยัง ?
แม้ปัจจุบัน เอ็นโซ่ มาเรสก้า จะให้โอกาส โรเบิร์ต ซานเชซ รับหน้าที่นายทวารมือหนึ่งของทีม แต่สิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือฟอร์มของ ฟิลิป ยอร์เกนเซ่น ที่เริ่มเด่นชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในวันนี้ที่บอกได้เลยว่าถ้าไม่มีเขา เชลซี คงไม่ได้ 3 แต้มกลับบ้านไปอย่างแน่นอน
อดีตผู้รักษาประตูของ บียาร์เรอัล ยังคงตกอยู่ในสถานะ 'เบอร์ 2' ของทีมต่อไป หลัง เอ็นโซ่ มาเรสก้า ชื่นชอบสไตล์การเล่นของ ซานเซซ มากกว่า แต่ถ้าว่ากันตามตรงนับตั้งแต่นัดเจอ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ซานเชซ ก็ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานเรื่อยมาทั้งในเกมสโมสรและทีมชาติ ซึ่งแฟน เชลซี ไม่น้อยต่างเรียกร้องให้ มาเรสก้า ดัน ยอร์เกนเซ่น ขึ้นมาเล่นฟุตบอลลีกบ้าง
ในเกมวันนี้นอกจาก ยอร์เกนเซ่น จะยืนตำแหน่งได้ดี คอยอ่านจังหวะออกมาตัดเกมรุกคู่แข่งอยู่เรื่อย ๆ และโชว์ซุปเปอร์เซฟหลายลูกให้ เชลซี ยังคงอยู่ในเกมต่อไป เรายังได้เห็นเจ้าตัวโวยใส่ เบอนัวต์ บาเดียชิลล์ ในจังหวะที่ส่งบอลมาให้แบบไม่พร้อมจนทีมเกือบพลาดเสียประตูด้วย คือเรียกได้ว่าคาแร็คเตอร์ความดุดันก็มีเหมือนกัน ต่างกับ ซานเชซ ที่เป็นสายนิ่งมากกว่า
ต้องมาดูกันว่าสุดท้ายแล้ว มาเรสก้า จะให้โอกาส ยอร์เกนเซ่น ได้ลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก บ้างหรือไม่ แต่ถ้าหากฟอร์มการเล่นของทั้ง 2 คนยังคงขยับสวนทางกันแบบนี้ อีกไม่นานเราคงได้เห็นนายทวารชาว สวีดิช ยืนเฝ้าเสาในตำแหน่งมือหนึ่งของทีมอย่างแน่นอน
ระเบิดเวลาของ เอ็นคุนคู..
ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา พอตลาดหน้าหนาวใกล้จะเปิดตัวขึ้น สื่อหลายสำนักก็เริ่มเล่นข่าวสถานการณ์ของ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถยึดตำแหน่งศูนย์หน้าตัวจริงของ เชลซี ได้แม้จะเล่นมาเกือบครึ่งซีซันแล้วก็ตาม ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ว่า เอ็นคุนคู กำลังมองหาทางออกจาก เชลซี อยู่หรือไม่ ?
ก่อนเกมจะเริ่มขึ้น เอ็นโซ่ มาเรสก้า ตอบชัดว่า เอ็นคุนคู ไม่ได้มีไว้ขาย รวมถึงตัวนักเตะก็พร้อมสู้ต่อไปที่ เชลซี แต่ในเกมวันนี้ภาษากายและแววตาของ เอ็นคุนคู มันกลับบอกอะไรบางอย่างออกมา และนี่อาจเป็นสัญญาณที่ไม่ดีสักเท่าไรสำหรับทีม สิงโตน้ำเงินคราม..
เอ็นคุนคู ยังคงได้ลงเล่นเป็นตัวจริงใน คอนเฟอเรนซ์ลีก พร้อมสามารถยิงประตูได้อีก 1 ลูก นำโด่งกลายเป็นดาวซัลโวของทีมที่ซัดไปแล้วถึง 11 ลูกในซีซันนี้ แต่ภาษากายของเจ้าตัวกลับดูเหมือนว่าแพชชั่นเริ่มหดหายไป เทียบกับ มิไคโล มูดริก ที่ยิงประตูได้ในแมตช์เดียวกัน รายหลังดูมีไฟลุกโชนเต็มเปี่ยมกว่าเยอะ
ถ้าให้เปรียบเทียบง่าย ๆ สถานการณ์ของ เอ็นคุนคู ในตอนนี้เหมือนเด็กมัธยมที่โดนส่งไปเล่นกับเด็กประถม คือการเล่นฟุตบอลมันสนุกอยู่แล้ว แต่เขาก็คงอยากลงฟาดแข้งกับคู่แข่งที่รุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่อย่างนั้น 11 ประตูที่ยิงได้มันจะมีความหมายอะไรถ้ายิงได้แต่กับทีมระดับนี้
โจทย์ยากของ มาเรสก้า ในตอนนี้จึงกลายมาเป็นว่าจะทำยังไงให้เหล่าตัวรุกที่พากันโชว์ฟอร์มดีหมด และต่างคิดว่าตัวเองสมควรได้ลงเล่น สามัคคีกลมเกลียวและพร้อมอยู่ในพื้นที่ของตนเองไปจนตลอดรอดฝั่ง เพราะคงไม่มีแฟนบอลคนไหนอยากเห็น 'ทีมแตก' ตั้งแต่ยังไม่ได้สัมผัสเลยแม้แต่โทรฟี่เดียว