ลิเวอร์พูล 2-0 เรอัล มาดริด : เก็บตกหลังเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดหงส์แดงถอนแค้น พร้อมการันตีเข้ารอบเรียบร้อย
• แม้ เรอัล มาดริด จะมีโอกาสดีในการตีเสมอ แต่เมื่อทำไม่ได้ก็จบเห่
• และนี่คือหลายๆ สิ่งที่พอมองเห็นได้จากเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แมตช์นี้
รายการ: ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2024/25
วันแข่งขัน: พุธ 27 พฤศจิกายน 2567
สนาม: แอนฟิลด์
ผลการแข่งขัน : ลิเวอร์พูล 2-0 เรอัล มาดริด
หงส์กับชุดขาว
มีประวัติฟาดฟันกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุค 80 แต่ที่ชัดคือระยะหลัง เรอัล มาดริด "ข่มขาด" ลิเวอร์พูล อย่างเทียบกันไม่ได้
ก่อนวันนี้ หนสุดท้ายที่ หงส์แดง กำชัยเหนือชุดขาว ต้องย้อนไปถึง มี.ค. 2009 ที่วันนั้น สตีเว่น เจอร์ราร์ด ซัดสอง, เฟร์นานโด ตอร์เรส 1 ปิดด้วย อันเดรีย ดอสเซน่า อีก 1 พาหงส์ยุค ราฟา เบนิเตซ กำราบราชันชุดที่มี ราอูล กอนซาเลซ, กอนซาโล่ อิกวาอิน, เวสลี่ย์ สไนเดอร์, ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ขาดลอย 4-0
- จากนั้นเป็นต้นมา (เจอกันใน ชปล. ล้วนๆ แล้วแต่ปีไหนรอบใด)
2014/15 หงส์ 0-3 ราชัน, ราชัน 1-0 หงส์
2017/18 ราชัน 3-1 คาริอุส
2020/21 ราชัน 3-1 หงส์, หงส์ 0-0 ราชัน
2021/22 ราชัน 1-0 หงส์
2022/23 หงส์ 2-5 ราชัน, ราชัน 1-0 หงส์
8 นัด มาดริดชนะซะ 7 ที่เหลืออีกนัดจบเจ๊าจืด
การเจอกันที่แอนฟิลด์รอบล่าเมื่อปี 2023 ราชันชุดขาว บุกมากราดยิงถึง 5-2 วินิซิอุส จูเนียร์ ซัดสอง
เช่นเดียวกัน ใครจะลืมลงได้กับนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อสองปีก่อน ที่ วินิซิอุส สังหารนำชัย 1-0
อั๊ยหยา 'ทีมสำรอง' ชัดๆ
เรอัล มาดริด ถือไพ่เหนือกว่ามากในแง่ของเฮดทูเฮด
แต่ถ้านั่นคือการนับแต้มอย่างไม่เป็นทางการว่า 1-0 ลำดับถัดมา ลิเวอร์พูล ก็ตีเสมอ 1-1 หรือกระทั่งจ้วงแซง 2-1 เอาได้ง่ายๆ กับ "ไลน์อัพ" ที่ คาร์โล อันเชล็อตติ จัดลงวันนี้
เพราะไม่อาจเลี่ยงได้กับปัญหาบาดเจ็บ ที่เกิดขึ้นอย่างรุมเร้าและสมควรเอาเท้าก่ายหน้าผากอย่างแท้จริง
มีเพียง ติโบต์ กูร์กตัวส์ ที่เป็นตัวจริงมือ 1 ของแท้ แค่ตำแหน่งเดียว พื้นที่เดียว นอกนั้น...
หลังบ้าน หายแซ้บหายสอยทั้ง ดานี่ การ์บาฆัล, ดาวิด อลาบา, เอแดร์ มิลิเตา ส่วน ลูคัส บาซเกซ เพิ่งหายเจ็บกลับมานั่งสำรองได้ ทำให้แผงแบ็กโฟร์คือชุดเคาะปะผุ เซนเตอร์เป็น อันโตนิโอ รูดิเกอร์ กับ ราอูล อเซนซิโอ (21) แบ็กซ้ายเป็น แฟร์กล็อง เมนดี้ และทางขวาถอย เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ ลงยืน
แดนกลาง ขาด ออเรเลียง ชูอาเมนี่ แล้ว เฟเด วัลเวร์เด้ ก็ต้องถอยลงไปยืนแบ็ก ส่งผลให้ต้องพึ่งพาท่านผู้เฒ่า ลูก้า โมดริช (39) ประสานเกมร่วมกับ จู๊ด เบลลิงแฮม (ที่ห้ามขึ้นสูงนัก) และ เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า
แนวรุก ไม่มีทั้ง วินิซิอุส จูเนียร์ และ โรดรีโก้ โกเอส เหลือแค่ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ เล่นร่วมกับ บราฮิม ดิอาซ และ อาร์ดา กูแลร์
เอาดีๆ ไลน์อัพบางเกมตอนปรีซีซั่น เตะ แชมเปี้ยนส์คง แชมเปี้ยนส์คัพ ยังดีกว่านี้!
นูนเยซ โดดเด่นๆ
เรอัล มาดริด ใช้ชุดผสมสำรองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฝั่ง อาร์เน่อ สล็อต ก็ยังมีปัญหาที่ค้างคา กับการไม่มี อลิสซอน เบ็คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ดีโอโก้ โชต้า หรือ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ หรือ เฟเดริโก้ เคียซ่า
แต่เทียบ 11 คนแรกกันแล้ว ลิเวอร์พูล ดีกว่า เข้าที่เข้าทางกว่ากันมาก
จึงไม่แปลกที่เมื่อเกมเริ่มขึ้นแล้ว ลิเวอร์พูล จะเหนือกว่าตั้งแต่ต้นยันจบ
ครึ่งแรก ถือว่า ดาร์วิน นูนเยซ วูบวาบอันตราย เด่นกว่าใครเพื่อน
นาทีที่ 4 กดด้วยขวาติดเซฟไปเด้งขา ราอูล อเซนซิโอ เกือบเข้าแต่โดนเคลียร์ทิ้งไว้คาบเส้น / โอกาสทองมาในนาที 23 แต่จิ้มไม่ผ่านเซฟ กูร์กตัวส์ / สบโอกาสขึ้นโขกเล่นทางนาที 32 ลูกลอยผ่านหน้าประตูนิดเดียว
แต่ก็อีกนั่นแหละ นูนเยซ ก็ยังคงเป็น นูนเยซ ที่ "ถ้าคมกว่านี้ก็ดี"
เป็นอันว่าครึ่งแรกผ่านไปที่ 0-0 แบบที่หงส์ดีกว่ามาก และ ควีวิน เคลเลเฮอร์ กางโต๊ะผ้าใบเรียกเครื่องดื่มเย็นๆ มาเสิร์ฟได้เลย เมื่อ เรอัล มาดริด ยิงตรงกรอบเป็น 0
เอ็มบัปเป้ vs ซาลาห์
ครึ่งหลังเริ่มมาแค่แวบเดียว อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ต่อบอลกับ คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ เข้าไปตวัดยิงเสียบตาข่าย 1-0
อันเชล็อตติ อยู่เฉยไม่ได้ต้องปรับเกมส่ง ลูคัส บาซเกซ กับ ดานี่ เซบายอส (แทน กามาวินก้า ที่เจ็บ) ลงมาแทน
ก็เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เป็น บาซเกซ นั่นเองที่เรียกจุดโทษได้จากสัมผัสแรก ที่พาบอลเข้าไปโดน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน รวบล้ม
แต่... แต่ชั่วโมงนี้ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ไม่ใช่ เอ็มบัปเป้ ที่เรารู้จัก (เหตุผลนี้แหละ ทำให้หลุดทีมชาติช่วงหลัง) และ เคลเลเฮอร์ ก็ "เคี้ยวยาก" กว่าที่ใครจะกินลงง่ายๆ
เคลเลเฮอร์ พุ่งปัดจุดโทษของ เอ็มบัปเป้ ไว้ได้แบบเต็มแขน ทำให้สกอร์ยังคงอยู่ที่ 1-0
ไม่นานถัดมา โม ซาลาห์ (ที่ครึ่งแรกอย่างเงียบ) ก็พาเข้าไปโดน แฟร์กล็อง เดอะรั่ว เมนดี้ งัดล้ม ผู้ตัดสินเป่าจุดโทษคืนให้หงส์ แต่ก็นั่นแหละ ซาลาห์ อัดด้วยซ้ายชนเสานอกออกไปอย่างหมดท่า
เอ็มบัปเป้ vs ซาลาห์ วันนี้... ออก 0-0 ไข่ไม่แตกด้วยกันทั้งคู่
ไร้ วินิฯ ไร้อันตราย
แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะไม่ได้ 2-0 จากจุดโทษ
แต่ โคดี้ กัคโป ก็จัดแจ่มๆ ให้ด้วยการทิ่มโขกลูกเปิดของ โรเบิร์ตสัน ผ่าน กูร์กตัวส์ เข้าไปไม่เหลือ
เกมจบที่ ลิเวอร์พูล กำชัยนิ่มๆ 2-0 แบบที่เอาจริงๆ น่าขึ้นเม็ดสามเม็ดสี่ด้วยซ้ำไป
แต่ที่จริงก็อย่าได้แปลกใจ เมื่อนี่คือสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล สองซีซั่นก่อน หรือ แมนยู ตลอดซีซั่นที่แล้ว หรือล่าสุดกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นี่เอง
นั่นคือสถานการณ์น่าปวดหัวอย่างปัญหาบาดเจ็บพร้อมๆ กันของนักเตะสำคัญ ที่ทำให้ เรอัล มาดริด กำลังเป็นคนละทีมกับที่เราคุ้นเคย
หลังบ้านมีช่องโหว่ แดนกลางยวบ และสำคัญสุดคือ ข้างหน้า พึ่งไม่ได้เลย ย้ำ ไม่ได้เลย
แนวรุกที่ขาด วินิซิอุส ก็เหมือนขาดใจ เอ็มบัปเป้ ขาดความมั่นใจจนทำอะไรก็ผิดก็พลาดไปหมด ส่วนอีก 2 ตัวบนอย่าง บราฮิม ดิอาซ กับ อาร์ดา กูแลร์ ถือว่ายังอ่อนชั้น ไม่ใช่ปัญหาของหลังบ้าน ลิเวอร์พูล ในการรับมือ
ลำพังถ้าหลังบ้านหรือแดนกลางขาดตัว ถ้าข้างหน้ามี วินิซิอุส อาจยังพอถูไถ ด้วยความรอบจัดและหาตัวจับยากของแข้งแซมบ้า อย่างที่เราเคยเห็นมาแล้วในหลายๆ นัด หรือเกมชิง ชปล. ครั้งก่อนที่ 0-0 อยู่ดีๆ วินิซิอุส ก็กระชากพรวดไปจัดประตูมาให้
วันนี้ อย่างที่ว่า วินิซิอุส ไม่อยู่ เอ็มบัปเป้ คนเดียว ทำอะไรไม่ได้
ซ้ำร้าย กว่าที่จะหย่อน เอ็นดริค ลงมา ก็ปาไป 10 นาทีท้าย ที่แทบไม่เหลือความหมายอะไรแล้ว
น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ อันเชล็อตติ ไม่เชื่อมั่นใน เอ็นดริค มากพอ แต่เลือกจะไว้วางใจใน เอ็มบัปเป้ แบบถึงไหนถึงกัน
และเกมนี้ ผลลัพธ์ก็บอกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิด
หงส์เข้ารอบ...ราชัน (เสี่ยง) ตกรอบ
ชปล. 2024/25 เดินทางผ่าน 5 นัดแรกจากโปรแกรม 8 นัดของ ลีก เฟส ปรากฏได้ทีมการันตีเข้ารอบชัวร์แล้ว 1 ราย ก็คือจ่าฝูง ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นทีมเดียวที่ชนะ 5 นัดรวด กวาด 15 แต้มเต็มเข้ากระเป๋า แถมเพิ่งเสียไปแค่ประตูเดียว
หงส์แดงของ อาร์เน่อ สล็อต ได้ตั๋วไปต่อรอบเพลย์ออฟเป็นอย่างน้อยแล้ว ในระบบที่คัดเอาทีมอันดับที่ 9-24 เข้าเพลย์ออฟ ซึ่งอันดับ 9-16 จะเป็นทีมวาง
อย่างไรก็ตาม 3 นัดสุดท้ายที่จะพบกับ คิโรน่า (เยือน), ลีลล์ (เหย้า) และ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น (เยือน) นั้น ลิเวอร์พูล ขอแค่ชนะเพิ่มอีก 1-2 นัดเท่านั้นก็เป็นอันปิดจ๊อบ การันตีเป็น 1 ใน 8 อันดับแรก เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแน่นอน
และมาทรงนี้ มั่นใจได้เลย เข้าแน่ไม่มีพลาด
ในทางตรงกันข้าม เรอัล มาดริด แพ้ 3 จาก 5 เกมแรก รั้งเพียงอันดับ 24 ยืนอยู่บนปากเหว ความเป็นความตายระหว่างเข้ารอบเพลย์ออฟ (แบบไม่เป็นทีมวาง) กับตกรอบหลับสนิทศิษย์หามโลง
3 นัดสุดท้าย ราชันชุดขาว ต้องพบกับ อตาลันต้า (เยือน), เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก (เหย้า) และ แบรสต์ (เยือน) ซึ่งมีสิทธิ์ที่พวกเขาจะต้องการชัยชนะทุกนัด 9 แต้มเต็มเพื่อผ่านเข้ารอบ
จะทำได้ไหม...ทำได้รึเปล่า...
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีแรกของการปรับระบบทั้งยวง ไม่แน่เราอาจได้เห็น แชมป์ 15 สมัยอย่าง มาดริด ตกรอบแรกก็เป็นได้