10 แข้ง ลิเวอร์พูล ที่ดีที่สุดภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ - FEATURE
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
เยอร์เก้น คล็อปป์ เพิ่งฉลองครบรอบ 6 ปีแห่งการคุมทีม ลิเวอร์พูล ไปเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากที่เข้ามารับงานในวันเดียวกันนี้เมื่อปี 2015 และพาทีมประสบความสำเร็จมากมาย พร้อมทั้งยกระดับจากทีมลุ้นท็อปโฟร์กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ทั้งใน พรีเมียร์ลีก และ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ในช่วง 3 ปีหลังสุดได้อีกด้วย
สิ่งที่ขาดไปไม่ได้คือนักเตะชั้นยอดที่นายใหญ่ชาวเยอรมันปลุกปั้นและยกระดับจากผู้เล่นธรรมดากลายเป็นซูเปอร์สตาร์เพียงไม่กี่ปี ซึ่งสตาร์เหล่านี้คือหัวใจสำคัญเขาตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่ในถิ่น แอนฟิลด์ จนเข้าปีที่ 6 ในปีนี้
นี่คือ 10 นักเตะ ลิเวอร์พูล ที่ดีที่สุดภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ (ตอนที่ 1)
10. แอนดี้ โรเบิร์ตสัน
เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าผู้เล่นคนใดจะเข้ามาอยู่ในลิสต์อันดับ 10 นี้ เพราะมีนักเตะดี ๆ มากมายที่ต่างโชว์ฟอร์มให้กับทีมในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่สุดท้ายชื่อของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน กลายเป็นชื่อที่ถูกนึกถึงเป็นอันดับแรก
ตลอดช่วงระยะเวลา 4 ปีนับตั้งแต่ที่ย้ายจาก ฮัลล์ ซิตี้ มาร่วมทีมเมื่อปี 2017 แบ็คซ้ายชาวสก็อตต์ได้ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดในยุโรป หรืออาจจะบอกได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในฟูลแบ็คที่ดีที่สุดในโลกฟุตบอลตอนนี้เลยก็ว่าได้
จากฟอร์มการเล่นอันแข็งแกร่ง การครอสบอลที่เข้าเป้าเกือบทุกครั้ง และความสม่ำเสมอที่หาใครเทียบ ทำให้ภาพไอ้หนุ่มหน้าเจี๋ยมเจี้ยมในวันแรกที่ย้ายมาจากทีมตกชั้นด้วยราคาเพียง 8 ล้านปอนด์ถูกลบหายไปจากความทรงจำของ เดอะค็อป กลายเป็นแบ็คพันธุ์ดุผู้ทุ่มเทุกอย่างให้สโมสรและเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ขาดไม่ได้ในทีม 11 ตัวจริงของเขา
9. จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม
แม้ว่าในซีซันนี้ ลิเวอร์พูล จะไม่ได้ฟอร์มแย่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าช่องว่างที่ ไวจ์นัลดุม ทิ้งเอาไว้เมื่อช่วงซัมเมอร์ยังไม่มีใครถมได้เต็มจนถึงตอนนี้
คล็อปป์ สร้างให้ จีนี กลายเป็นหนึ่งในกองกลางบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ที่ดีที่สุดใน พรีเมียร์ลีก เมื่อยามที่เขายังลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ด้วยรูปร่าง ความแข็งแกร่ง ความขยัน การอ่านเกมที่เฉียบขาด และการสอดขึ้นมาทำประตูสำคัญให้กับทีม สิ่งนี้จึงทำให้ผู้จัดการทีมเมืองเบียร์ต้องส่งเขาลงสนามทุกเกมหากเจ้าตัวไม่มีอาการบาดเจ็บ
ไวจ์นัลดุม คือนักเตะที่ได้รับการประเมินค่าต่ำจนเกินไป จริงอยู่ที่เขาอาจไม่ได้มีออร่าของความเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ด้วยคุณสมบัติที่ครบเครื่องจึงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เคยใช้งาน
8. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
จงลืมฟอร์มการเล่นที่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอยในซีซันนี้ไปก่อน เพราะสิ่งที่เขาทำที่ผ่านมาภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั้นถือได้ว่าคือ “ปรากฏการณ์” ของสโมสรเลยก็ว่าได้
เฮนโด้ เป็นกัปตันทีม ลิเวอร์พูล คนแรกในรอบ 30 ปีที่ได้ชูถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดและเป็นคนแรกที่ชูถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
กองกลางวัย 31 ปีอาจไม่ใช่นักเตะที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์แต่เขาคือคนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในทีมทั้งในและนอกสนาม แม้จะมีแนวทางการเล่นแบบธรรดมาทั่วไปไม่มีอะไรโดดเด่น แต่เขาก็สามารถทำให้แดนกลางของทีมแข็งแกร่งมากขึ้นและช่วยให้เพื่อนร่วมทีมเล่นได้อย่างมั่นใจ ถือได้ว่านี่คือ “ผู้ปิดทองหลังพระ” ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ตลอด 6 ปีของเขาอย่างแท้จริง
7. ฟาบินโญ
แม้ว่ากองกลางบราซิลเลียนจะอยู่กับทีมมาไม่นานเท่ากับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม แต่เขาก็ถูกยกให้เป็นนักเตะที่มีความสำคัญในแดนกลางของ ลิเวอร์พูล ไม่น้อยไปกว่า 2 คนนั้นแต่อย่างใด
การมาของ ฟาบินโญ หลายคนอาจไม่ทันได้สังเกตว่านี่คือการยกระดับแผงกองกลางของ หงส์แดง อย่างชัดเจน เพราะนับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมาเขากลายเป็นคนสำคัญของ คล็อปป์ แถมยังสามารถปรับตัวเองให้มาเล่นในแดนหลังตามคำเรียกร้องของผู้จัดการทีมได้อีกด้วย
การอ่านเกมที่ชาญฉลาดสามารถช่วยแบ่งเบาเกมรับของทีมได้มากและเขามักจะสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นในเกมที่ยากลำบากด้วยเทคนิคสไตล์บราซิลเลียนจนปัจจุบันทีมจะขาดเขาไปไม่ได้แล้ว
6. เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
จากเด็กปั้นของสโมสร เทรนท์ ได้รับการโปรโมตขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัวเมื่อ 3 ปีก่อนจนถึงตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือหนึ่งในแบ็คขวาที่ดีที่สุดในโลกไปแล้ว
ดาวเตะวัย 23 ปีกลายเป็นคนสำคัญทางกราบขวา ด้วยเทคนิคเฉพาะตัวเขาได้ทำให้นิยามของคำว่า “ฟูลแบ็ค” นั้นเปลี่ยนไป จากเดิมที่ต้องวิ่งเติมและเปิดบอลจากริมเส้นเพียงอย่างเดียว แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าแนวรับ หงส์แดง สามารถเปิดบอลได้จากทุกที่ในสนาม พร้อมด้วยการผ่านบอลที่มีความแม่นยำสูงและมีส่วนร่วมในการสร้างเกมรุกจนกลายเป็นอาวุธสำคัญของ เยอร์เก้น คล็อปป์
ด้วยอายุอานามเพียงเท่านี้กับการประสบความสำเร็จทั้งแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ทำให้อนาคตของ เทรนท์ นั้นมีปลอกแขนกัปตันทีม ลิเวอร์พูล รออยู่ และเชื่อว่าภายใต้สัญญาการคุมทีมของนายใหญ่ชาวเยอรมันเขาจะยังสามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน
5. โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน
แม้ช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา “บ็อบบี้” จะไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่สุดยอด แต่ก็ไม่สามารถด้อยค่าความสำคัญของเขาในช่วงที่ผ่านมาในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้
ฟีร์มีโน เป็นผู้เล่นที่ได้ลงสนามมากที่สุดภายใต้การคุมทีมของกุนซือเมืองเบียร์โดยลงเล่นไปทั้ง 291 นัด ตามมาด้วย เจมส์ มิลเนอร์ ที่ลงสนามไป 246 นัด
ตำแหน่งที่ดีที่สุดของดาวยิงบราซิลเลียนคือการเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า ซึ่งเขาไม่เหมือนคนอื่นตรงที่มักลงมาช่วยวิ่งไล่บอลและแย่งบอลสำเร็จอยู่บ่อยครั้ง พร้อมทั้งยังทำประตูสำคัญให้กับทีมได้เสมอ โดยเฉพะาการยิงประตูชัยในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลสโมสรโลกเมื่อปี 2019 ถือเป็นความโดดเด่นที่ คล็อปป์ ยากจะปฏิเสธได้
4. อลิสซอน เบ็คเกอร์
หากยกให้ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ คือคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของ ลิเวอร์พูล ในเดือนมกราคมปี 2018 อลิสซอน เบ็คเกอร์ ก็เปรียบเหมือน “จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย” ที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเสร็จสมบูรณ์ในซีซันต่อมา
ปัญหาคาราคาซังของ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ บรูซ ก็อบเบลลา แขวนถุงมือไปเมื่อช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 นั่นคือการไม่สามารถหาผู้รักษาประตูที่จะเข้ามาสร้างความเชื่อมั่นให้กับแผงกองหลังได้เลย เมื่อย้อนกลับไปดูชื่อทั้ง เดวิด เจมส์, ซานเดอร์ เวสเตอร์เฟล, เจอร์ซีย์ ดูเด็ค, เปเป้ เรน่า, ซิมง มินโญเลต์ และ ลอริส คาริอุส
สุดท้ายแล้ว คล็อปป์ ก็หาทางออกด้วยการทุ่มเงินก้อนโต 65 ล้านปอนด์คว้าตัว อลิสซอน มาจาก โรมา และจากนั้นทุกอย่างก็คือประวัติศาสตร์ การผนึกกำลังกับแผงแบ็คโฟร์ที่นำโดย เวอร์จิล ฟาน ไดค์ นั้นช่วยยกระดับให้ หงส์แดง กลายเป็นทีมที่เสียประตูยากที่สุดทีมหนึ่งในช่วง 3 ปีหลังของ พรีเมียร์ลีก
3. ซาดิโอ มาเน
ซาดิโอ มาเน เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้มีชื่อเป็นนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ดาวดังเหมือนอย่างใครเขา แต่ด้วยผลงานภายใต้การปลุกปั้นของ เยอร์เก้น คล้อปป์ ทำให้เขาผู้เล่นแนวรุกที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสรไปแล้ว
การย้ายมาจาก เซาแธมป์ตัน เมื่อปี 2016 เป็นดั่งจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทีมภายใต้นายใหญ่ชาวเยอรมัน ด้วยฝีเท้าอันรวดเร็วและเทคนิคชั้นยอด การเปิดตัวระดับมาสเตอร์พีซในเกมที่บุกไปเอาชนะ อาร์เซนอล ได้ 4-3 ในนัดเปิดซีซัน 2016-2017 คือสิ่งที่บ่งบอกถึงยุคใหม่ของ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง
ตอนนี้ มาเน คือหนึ่งในตำนานนักเตะของ หงส์แดง และ พรีเมียร์ลีก ไปแล้วเมื่อเขาสามารถยิงได้ 102 ประตูจากการลงสนาม 227 ในตำแหน่งปีกซ้าย และแชมป์มากมายในช่วงที่ผ่านมาคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าเขาคนนี้คือของจริง
2. เวอร์จิล ฟาน ไดค์
น่าเสียดายที่ “พี่ยักษ์” ต้องพลาดการขึ้นเป็นอันดับ 1 ในลิสต์นี้ แต่หากจะจัดอันดับว่านักเตะคนใดมีอิทธิพลต่อ ลิเวอร์พูล ในยุค เยอร์เก้น คล็อปป์ มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นพี่เขาอยู่ดี
กองหลังวัย 30 คือผู้เล่นที่เข้ามาทำให้ เดอะเร้ดส์ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาคนนี้คือเซ็นเตอร์แบ็คอันดับหนึ่งของโลกลูกหนังที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากสไตล์การเล่นที่อ่านเกมได้เฉียบขาด เข้าสกัดอย่างดุดัน และการปั้นเกมจากแดนหลังที่น้อยคนจะทำได้
ฟาน ไดค์ สำคัญขนาดไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าซีซันที่แล้วเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บจนต้องปิดซีซันไปก่อนใครเพื่อนตั้งแต่เดือนตุลาคม จากนั้นมา ลิเวอร์พูล ก็กลายเป็นทีมที่แพ้คาบ้านติดต่อกันถึง 6 นัดและหหล่นจากตำแหน่งจ่าฝูงต้องมาลุ้นพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ลีก จนนัดสุดท้ายของฤดูกาล
1. โมฮาเหม็ด ซาลาห์
อันดับ 1 ต้องเป็น โม ซาลาห์ เท่านั้น จริงอยู่ที่ ฟาน ไดค์ อาจมีอิทธิพลต่อทีมอย่างมาก แต่ต้องยอมรับว่านาทีนี้ “ราชาแห่งอียิปต์” คือผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกจากฟอร์มตั้งแต่ช่วงเปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
ซาลาห์ ไม่เคยหยุดยิงประตูให้กับ ลิเวอร์พูล เลยนับตั้งแต่ที่ย้ายมาจาก โรมา เมื่อปี 2017 เขาก้าวข้ามการเป็นนักเตะที่โดดเด่นเด่นเพียงซีซันเดียว กลายเป็นผู้เล่นที่มีลุ้นรางวัลดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก ทุกปี และปีนี้เขาก็เป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้ารางวัลนี้อีกเช่นเคย
ไม่ว่า หงส์แดง จะฟอร์มตกต่ำย่ำแย่ขนาดไหน แต่กองหน้าวัย 29 ปียังคงเป็นคนที่ยิงประตูให้กับทีมได้อย่างต่อเนื่องจนตอนนี้เจ้าตัวถล่มไปแล้ว 134 ประตูจากการลงสนาม 212 นัดให้กับทีมในทุกรายการซึ่งทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในตำนานดาวยิงของสโมสรเป็นที่เรียบร้อย
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด