คู่มือ ฟุตบอลโลก 2022: ทุกอย่างที่ควรรู้ สถิติที่ต่าง ๆ และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
หลายคนคงทราบดีแล้วว่า ฟุตบอลโลก 2022 ที่จะจัดขึ้นในประเทศกาตาร์นั้นกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะโดยตามโปรแกรมจะลงฟาดแข้งกันตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน จนถึงวันที่ 18 ธันวาคม โดยถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการจัดการแข่งขันในประเทศแถบตะวันออกกลาง นั่นทำให้การแข่งขันต้องเลือนมาแข่งในช่วงปลายปีที่เป็นฤดูหนาวเนื่องจากอากาศที่ร้อนจัดในดินแดนอาหรับนั่นเอง
บทความนี้เราได้ทำการรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับฟุตบอลโลกช่วงปลายปี รวมถึงข้อเท็จจริงและสถิติจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของฟุตบอลรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้นขึ้น !
ว่าด้วยเรื่อง "ฟุตบอลโลก"
ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ หรือ ฟุตบอลโลก ตามที่เราเรียกกัน เป็นรายการทัวนาเมนต์ฟุตบอลระดับนานา ๆ ชาติ ที่มีทีมฟุตบอลเข้าร่วมแข่งขันในนามของแต่ละประเทศที่เป็นสมาชิกของ ฟีฟ่า โดยจะมีการคัดเลือกชาติตัวแทนจาก 6 ทวีป ประกอบด้วย แอฟริกา เอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ โอเชียเนีย และ ยุโรป ซึ่งแต่ละปีจะมีประเทศที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันและเจ้าภาพจะได้สิทธิร่วมลงแข่งขันรอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกับทีมแชมป์เก่าจากปีที่ผ่านมา
จุดเริ่มต้น
หลังจาก ฟีฟ่า ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1904 ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หลังจากนั้น 26 ปีหรือในปี 1930 ประเทศสมาชิกจำนวน 13 ทีมตอบรับเข้าร่วมการแข่งขัน "ฟุตบอลโลก" ครั้งแรกโดยมีอุรุกวัยเป็นเจ้าภาพและมีทีมจากยุโรปเข้าร่วมทั้งหมด 4 ชาติ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ยูโกสลาเวีย และ โรมาเนีย ซึ่งในปีนั้น ทัพจอมโหด เจ้าบ้านเอาชนะ อาร์เจนตินา คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ ก่อนที่ครั้งต่อมาในปี 34 และ 38 จะเพิ่มเป็น 16 ทีมและเป็น อิตาลี ที่คว้าแชมป์มาครองได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตามในปี 42 และ 46 ไม่มีการแข่งขันเนื่องจากอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลับมาทำการแข่งขันได้อีกครั้งในปี 1950 ซึ่งจากวันนี้มาจนถึงปัจจุบันมีอีกเพียง 6 ชาตินอกเหนือจากสองประเทศที่กล่าวไปที่เคยคว้าแชมป์รายการนี้ประกอบด้วย บราซิล อาร์เจนตินา ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี และ สเปน เท่านั้น
ประวัติศาสตร์ผู้ชนะ
- 1930 - อุรุกวัย 4-2 อาร์เจนตินา
- 1934 - อิตาลี 2-1 เชคโกสโลวาเกีย(ต่อเวลาพิเศษ)
- 1938 - อิตาลี 4-2 ฮังการี
- 1950 - อุรุกวัย 2-1 บราซิล
- 1954 - เยอรมัน ตะวันตก 3-2 ฮังการี
- 1958 - บราซิล 5-2 สวีเดน
- 1962 - บราซิล 3-1 เชคโกสโลวาเกีย
- 1966 - อังกฤษ 4-2 เยอรมนี ตะวันตก(ต่อเวลาพิเศษ)
- 1970 - บราซิล 4-1 อิตาลี
- 1974 - เยอรมนี ตะวันตก 2-1 เนเธอร์แลนด์
- 1978 - อาร์เจนตินา 3-1 เนเธอร์แลนด์
- 1982 - อิตาลี 3-1 เยอรมนี ตะวันตก
- 1986 - อาร์เจนตินา 3-2 เยอรมนี ตะวันตก
- 1990 - เยอรมนี ตะวันตก 1-0 อาร์เจนตินา
- 1994 - บราซิล 0-0 อิตาลี (3-2 จุดโทษ)
- 1998 - ฝรั่งเศส 3-0 บราซิล
- 2002 - บราซิล 2-0 เยอรมนี
- 2006 - อิตาลี 1-1 ฝรั่งเศส (5-3 จุดโทษ)
- 2010 - สเปน 1-0 เนเธอร์แลนด์ (ต่อเวลาพิเศษ)
- 2014 - เยอรมนี 1-0 อาร์เจนตินา (ต่อเวลาพิเศษ)
- 2018 - ฝรั่งเศส 4-2 โครเอเชีย
กฏการแข่งขันเบื้องต้น
การเปลี่ยนตัว
แต่ละนัดในรอบสุดท้ายทุกชาติจะสามารถส่งรายชื่อตัวสำรองได้สูงสุด 12 คน สามารถเปลี่ยนตัวได้ 3 ครั้งแต่ทั้งนี้จะเปลี่ยนได้ไม่เกิน 5 คน และหากมีการต่อเวลาพิเศษทั้งสองทีมจะได้รับโควต้าเปลี่ยนตัวเพิ่มอีกหนึ่งคนทันที
โทษแบน
ผู้เล่นที่โดนไล่ออกจากสนามจะถูกแบนในนัดต่อไปทันทีหนึ่งเกม ทั้งกรณีที่เป็นใบแดงโดยตรงหรือโดนใบเหลือง 2 ใบในหนึ่งเกม และหากนักเตะโดนใบเหลืองสะสมครบ 2 ใบแม้จะเกิดขึ้นคนละเกมก็จะถูกแบนทันทีหนึ่งนัดเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ใบเหลืองจะถูกล้างทันทีหากทีมสามารถเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้
ดาวซัลโวสูงสุด
มิโรสลาฟ โคลเซ ขึ้นนำเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมาพร้อมกับการคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติ เยอรมนี มาครองได้สำเร็จ ด้วยผลงาน 16 ประตู โดยปัจจุบันคนที่ใกล้เคียงที่สุดที่ยังค้าแข้งอยู่ก็คือรุ่นน้องอย่าง โธมัส มึลเลอร์ ที่ยิงไปแล้ว 10 ประตูตามมาแบบห่าง ๆ นั่นเอง
- มิโรสลาฟ โคลเซ (เยอรมนี) - 16
- โรนัลโด้ (บราซิล) - 15
- เกิร์ด มึลเลอร์ (เยอรมนี) - 14
- ฌุสต์ ฟงแตน (ฝรั่งเศส) - 13
- เปเล (บราซิล) - 12
- แซนดอร์ คอคซิส (ฮังการี) - 11
- เยอร์เก้น คลินสมันน์ (เยอรมนี) - 11
- เฮลมุต ราห์น (เยอรมนี) - 10
- แกรี ลินิเกอร์ (อังกฤษ) - 10
- กาเบรียล บาติสตูต้า (อาร์เจนตินา) - 10
- ทีโอฟิโล คูบิญาส (เปรู) - 10
- โธมัส มึลเลอร์ (เยอรมนี) - 10
- เกอร์เซกอร์ซ เลโต้ (โปแลนด์) - 10
- อูเซบิโอ (โปรตุเกส) - 9
- คริสเตียน วิเอรี (อิตาลี) - 9
นักเตะยอดเยี่ยม...
โกลเด้น บอล คือหนึ่งในรางวัลประจำทัวร์นาเมนต์ของฟุตบอลโลกที่จะมอบให้นักเตะที่ว่ากันว่าดีที่สุดประจำปีนั้น ๆ โดยเริ่มมีการมอบรางวัลนี้ตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 1982 ลแะนักฟุตบอลคนแรกที่ได้รับคือ เปาโล รอสซี จาก อิตาลี นั่นเอง
- 1982 - เปาโล รอสซี (อิตาลี)
- 1986 - ดิเอโก มาราโดนา (อาร์เจนตินา)
- 1990 - ซัลวาตอเร สชิลลาซี (อิตาลี)
- 1994 - โรมาริโอ (บราซิล)
- 1998 - โรนัลโด้ (บราซิล)
- 2002 - โอลิเวอร์ คาห์น (เยอรมนี)
- 2006 - ซิเนดีน ซีดาน (ฝรั่งเศส)
- 2010 - ดิเอโก้ ฟอร์ลัน (อุรุกวัย)
- 2014 - ลิโอเนล เมสซี (อาร์เจนตินา)
- 2018 - ลูก้า โมดริช (โครเอเชีย)
ดาวรุ่งยอดเยี่ยม...
เช่นเดียวกับนักเตะยอดเยี่ยม แต่สำหรับรางวัลนี้จะมอบให้กับดาวรุ่งพุ่งแรงที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในทัวร์นาเมนต์ ซึ่งอันที่จริงรางวัลนี้เพิ่งจะเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อ ฟุตบอลโลก 2006 ที่ผ่านมานี่เอง โดย ลูคัส โพดอลสกี้ จาก เยอรมนี เป็นผู้คว้ารางวัลนี้ไปครอง แต่หลังจากนั้น ฟีฟ่า ได้ทำการเปิดให้โหวตย้อนหลังยาวไปจนถึงปี 1958 และนี่คือผลการโหวตทั้งหมด
- 1958 - เปเล (บราซิล)
- 1962 - ฟลอเรียน อัลเบิร์ต (ฮังการี)
- 1966 - ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ (เยอรมนี)
- 1970 - ทีโอฟิโล คูบิญาส (เปรู)
- 1974 - วลาดิสลาฟ ซมูดา (โปแลนด์)
- 1978 - อันโตนิโอ คาบรินี (อิตาลี)
- 1982 - มานูเอล อโมรอส (ฝรั่งเศส)
- 1986 - เอ็นโซ ไซโฟ (เบลเยียม)
- 1990 - โรเบิร์ต โพรซินสกี้ (ยูโกสลาเวีย)
- 1994 - มาร์ค โอเวอร์มาร์ส (เนเธอร์แลนด์)
- 1998 - ไมเคิล โอเวน (อังกฤษ)
- 2002 - แลนดอน โดโนแวน (สหรัฐอเมริกา)
- 2006 - ลูคัส โพดอลสกี้ (เยอรมนี)
- 2010 - โธมัส มึลเลอร์ (เยอรมนี)
- 2014 - พอล ป็อกบา (ฝรั่งเศส)
- 2018 - คิเลียน เอ็มบัปเป้ (ฝรั่งเศส)
ดาวซัลโวสูงสุด...
รางวัล "โกลเด้น บูท" จะถูกมอบให้กับนักเตะที่ยิงประตูได้มากที่สุดใน ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายของทุก ๆ ปี ซึ่งอันที่จริงเพิ่งจะมีการมอบรางวัลนี้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 1982 เป็นต้นมา ก่อนจะมีการจดสถิติย้อนหลังกลับไปจนถึงฟุตบอลโลกครั้งแรก
หากกรณีที่มีนักเตะมากกว่าหนึ่งคนที่ยิงประตูได้สูงที่สุดเท่ากัน จะมีหลักในการคัดเลือกให้เหลือเพียงคนเดียว โดยจะมีเกณฑ์ตามลำดับดังนี้
- ประตูที่ทำได้ตัดการยิงจุดโทษออกไป
- จำนวนแอสซิสต์
- จำนวนเวลาที่ลงสนาม (น้อยกว่า)
- 1930 - กิเญร์โม สตาบิเล (อาร์เจนตินา) - 8
- 1934 - โอลดริช เนเยดี (เชคโกสโลวาเกีย) - 5
- 1938 - ลีโอไนดาส (บราซิล) - 7
- 1950 - อเดเมียร์ (บราซิล) - 8
- 1954 - ซานดอร์ คอคซิส (ฮังการี) - 11
- 1958 - ฌุสต์ ฟงแตน(ฝรั่งเศส) - 13
- 1962 - ฟลอเรียน อัลเบิร์ต (ฮังการี), วาเลนติน อิวานอฟ (สหภาพโซเวียต), การ์รินชา (บราซิล), วาวา (บราซิล), ดราซาน เยอร์โควิช (ยูโกสลาเวีย), ลิโอเนล ซานเชซ (ชิลี) - 4
- 1966 - อูเซบิโอ (โปรตุเกส) - 9
- 1970 - เกิร์ด มึลเลอร์ (เยอรมนี) - 10
- 1974 - เกอร์เซกอร์ซ ลาโต้ (โปแลนด์) - 7
- 1978 - มาริโอ แคมเปส (อาร์เจนตินา) - 6
- 1982 - เปาโล รอสซี (อิตาลี) - 6
- 1986 - แกรี ลินีเกอร์ (อังกฤษ) - 6
- 1990 - ซัลวาตอเร สชิลลาซี (อิตาลี) - 6
- 1994 - โอเลก ซาเลนโก้ (รัสเซีย), ฮิสโต สตอยชคอฟ (บัลแกเรีย) - 6
- 1998 - ดาเวอร์ ซูเคอร์ (โครเอเซีย) - 6
- 2002 - โรนัลโด้ (บราซิล) - 8
- 2006 - มิโรสลาฟ โคลเซ (เยอรมนี) - 5
- 2010 - โธมัส มึลเลอร์ (เยอรมนี) - 5
- 2014 - ฮาเมส โรดริเกวซ (โคลอมเบีย) - 6
- 2018 - แฮร์รี เคน (อังกฤษ) - 6
จอมหนึบประจำทัวร์นาเมนต์...
โกลเด้น โกลฟ คือรางวัลที่จะมอบให้กับผู้รักษาประตูที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมที่สุดใน ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ของแต่ละปี โดยเดิมทีเคยถูกเรียกว่า "เรฟ ยาชิน อวอร์ด" และเริ่มมีการมอบรางวัลตั้งแต่ 1994 ก่อนจะถูกเปลี่อนชื่อมาเป็น โกลเด้น โกลฟ เมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา
- 1994 - มิเชล พรูดอม (เบลเยียม)
- 1998 - ฟาเบียน บาร์เตซ (ฝรั่งเศส)
- 2002 - โอลิเวอร์ คาห์น (เยอรมนี)
- 2006 - จิอันลุยจิ บุฟฟอน (อิตาลี)
- 2010 - อิเกร์ คาซิญาส (สเปน)
- 2014 - มานูเอล นอยเออร์ (เยอรมนี)
- 2018 - ธีโบต์ กูร์ตัวส์ (เบลเยียม)
นักเตะที่ลงสนามมากที่สุด..
สถิติ ณ ปัจจุบันยังเป็นของ โลธาร์ มัตเธอุส จาก ทีมชาติเยอรมนี ที่ทำเอาไว้สูงถึง 25 เกมด้วยกัน โดยนักเตะที่ยังค้าแข้งอยู่ในปัจจุบันและมีโอกาสเทียบสถิติได้นั่นก็คือ ลิโอเนล เมสซี ที่ลงสนามไปแล้ว 19 นัด แต่นั่นหมายความว่าเจ้าตัวต้องพา อาร์เจนตินา ไปถึงรอบชิงชนะเลิศให้ได้เท่านั้น
- โลธาร์ มัตเธอุส (เยอรมนี) - 25
- มิโรสลาฟ โคลเซ (เยอรมนี) - 24
- เปาโล มัลดินี (อิตาลี) - 23
- ดิเอโก มาราโดนา (อาร์เจนตินา) - 21
- อูเว ซีเลอร์ (เยอรมนี ตะวันตก) - 21
ฟุตบอลโลกครั้งต่อไป ?
อย่างที่ทราบกันดีว่าฟุตบอลโลกจะจัดขึ้นทุก ๆ 4 ปี โดย ฟุตบอลโลก 2026 จะจัดขึ้นใน 3 ประเทศได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก และ สหรัฐอเมริกา ส่วนในปี 2030 นั้นยังไม่มีการประกาศประเทศเจ้าภาพอย่างเป็นทางการ ณ เวลานี้
ที่มาของ กาตาร์
ชีค โมฮาเหม็ด บิน ฮาเม็ด บิน คาลิฟา อัล-ธานี พี่ชายแท้ ๆ ของ ประมุขกาตาร์คนปัจจุบัน เป็นกำลังหลักในการเสนอชื่อและนำพาประเทศมาถึงจุดที่สามารถจัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้สำเร็จ โดยระหว่างการเสนอชื่อนั้น กาตาร์ ถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงขนาดของประเทศที่อาจจะไม่พร้อมในด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และอากาศในฤดูร้อนที่ร้อนจัดถึง 40 องศาเซลเซียส รวมถึงปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนที่ยังคงแพร่หลายในประเทศ ณ ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามในปี 2010 พวกเขาก็ได้รับการโหวตให้เป็นเจ้าภาพในปี 2022 และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการโดย เซปป์ เบลตเทอร์ อดีตประธานบริหารของ ฟีฟ่า อย่างเป็นทางการ ซึ่งนี่เป็นการเดิมพันอย่างกล้าหาญในการนำฟุตบอลโลกเข้ามาจัดการแข่งขันในดินแดนตะวันออกกลางเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
สนามที่ใช้การแข่งขัน
8 สนามที่ใช้ในการแข่งขัน อยู่ห่างจากใจกลางกรุงโดฮาไม่เกิน 21 ไมล์ ซึ่งแต่ละสนามมีการใช้พลังงานสะอาด ที่จะช่วยในระบบปรับความเย็นภายใน หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นสนามฟุตบอลที่ติดแอร์นั่นเอง
- ลูเซล ไอคอนิค สเตเดี้ยม - ลูเซล
- อัล เบย์ท สเตเดี้ยม - อัล คอร์
- เอดูเคชั่น ซิตี้ เสเดี้ยม - อัล เรย์ยาน
- อาหมัด บิน อาลี สเตเดี้ยม - อัล เรย์ยาน
- อัล จานูบ สเตเดี้ยม - อัล วาคราห์
- สเตเดี้ยม 974 - โดฮา
- อัล ธูมามา สเตเดี้ยม - โดฮา
- คาลิฟา อินเตอร์เนชั่นนัล สเตเดี้ยม - อัล เรย์ยาน
ทำความรู้จัก 8 สนามสุดอังการที่ใช้ในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022
รอบชิงชนะเลิศ...
การแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศปีนี้ จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม เวลา 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ที่สนาม ลูเซล ไอคอนิค สเตเดี้ยม ที่มีความจุรองรับผู้ชมได้มากกว่า 80,000 คน
รอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโลก 2022
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาได้มีการจับสายในรอบแบ่งกลุ่มไปเป็นที่เรียบร้อย โดย กาตาร์ ที่เป็นเจ้าภาพและเป็นทีมวางในกลุ่ม เอ จะอยู่ร่วมสายกับ เนเธอร์แลนด์ เซเนกัล และ คู่แข่งในนัดเปิดสนามอย่าง เอกวาดอร์ ขณะที่ขวัญใจมหาชนอย่าง ทีมชาติอังกฤษ จะอยู่ในกลุ่ม บี ร่วมกับ สหรัฐอเมริกา เวลส์ และ อิหร่าน
กลุ่ม เอ : กาตาร์, เอกวาดอร์, เซเนกัล, เนเธอร์แลนด์
กลุ่ม บี: อังกฤษ, อิหร่าน, สหรัฐอเมริกา, เวลส์
กลุ่ม ซี: อาร์เจนตินา, ซาอุดิอาระเบีย, เม็กซิโก, โปแลนด์
กลุ่ม ดี: ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย, เดนมาร์ก, ตูนิเซีย
กลุ่ม อี: สเปน, คอสตาริกา, เยอรมนี, ญี่ปุ่น
กลุ่ม เอฟ: เบลเยียม, แคนาดา, โมร็อกโก, โครเอเชีย
กลุ่ม จี: บราซิล, เซอร์เบีย, สวิตเซอร์แลนด์, แคเมอรูน
กลุ่ม เอช: โปรตุเกส, กานา, อุรุกวัย, เกาหลีใต้
อัพเดทโปรแกรมล่าสุดรอบแบ่งกลุ่ม วันและเวลาการแข่งขันในประเทศไทย
ผู้ตัดสินในฟุตบอลโลก 2022
เช่นเดียวกับทุก ๆ ปีที่ผู้ตัดสินจากสมาคมฟุตบอลทั่วทั่งโลกจะถูกเรียกตัวมามีส่วนร่วมในทัวร์นาเมนต์อันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งจากฝั่งอังกฤษ 2 ผู้ตัดสินชื่อดังอย่าง ไมเคิล โอลิเวอร์ และ แอนโธนี เทย์เลอร์ ก็ถูกเรียกไปร่วมงานด้วยเช่นกัน โดยรายชื่อทั้งหมดมีดังนี้
AFC (เอเชีย)
- อับดูลรามาน อัล จาสซิม (กาตาร์)
- คริส บีธ (ออสเตรเลีย)
- อลิเรซา ฟากานี (อิหร่าน)
- ม่า หนิง (จีน)
- โมฮาเหม็ด อับดุลลา ฮัสซาน โมฮาเหม็ด (สหรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์)
- โยชิมิ ยามาชิตะ (ญี่ปุ่น)
CAF (แอฟริกา)
- บาการี กัสซามา (แกมเบีย)
- มุสตาฟา กอร์บัล (แอลจีเรีย)
- วิคตอร์ โกดมส (แอฟริกาใต้)
- ซาลิมา มูกันซานก้า (รวันดา)
- มาเกตเต้ เอ็นเดียเย (เซเนกัล)
- แจนนี ซิกาซวี (แซมเบีย)
CONCACAF (อเมริกาเหนือ)
- อิวาน บาร์ตัน (เอล ซัลวาดอร์)
- อิสเมล เอลฟาธ (สหรัฐอเมริกา)
- มาริโอ เอสโคบา (กัวเตมาลา)
- ซาอิด มาร์ติเนซ (ฮอนดูรัส)
- เซซาร์ อาร์ตูโร รามอส (เม็กซิโก)
CONMEBOL (อเมริกาใต้)
- ราฟาเอล เคราส์ (บราซิล)
- อันเดรส มาตอนเต้ (อุรุกวัย)
- เควิน ออร์เตก้า (เปรู)
- เฟอร์นันโด ราปาญินี (อาร์เจนตินา)
- วิลตัน ซามไปโอ (บราซิล)
- ฟาคุนโด้ เทโญ (อาร์เจนตินา)
- เชซุส วาเลนซูลา (เวเนซูเอลา)
OFC (โอเชียเนีย)
- แมตธิว คอนเจอร์ (นิวซีแลนด์)
UEFA (ยุโรป)
- สเตฟานี ฟราปปาร์ท (ฝรั่งเศส)
- อิสต์วาน โควัคส์ (โรมาเนีย)
- แดนนี มัคเคลี (เนเธอร์แลนด์)
- ซีมอน มาร์ซิเนียค (โปแลนด์)
- อันโตนิโอ มาเตว ลาฮอซ (สเปน)
- ไมเคิล โอลิเวอร์ (อังกฤษ)
- ดานิเอเล ออร์ซาโต (อิตาลี)
- แดเนียล ซีเบิร์ต (เยอรมนี)
- แอนโธนี เทย์เลอร์ (อังกฤษ)
- เคลเมนต์ เทอร์ปิน (ฝรั่งเศส)
- สลาฟโก้ วินซิช (สโลวิเนีย)
ผู้ตัดสิน VAR
AFC (เอเชีย)
- อับดุลลา อัล มาร์รี (กาตาร์)
- มูฮัมมัด ทาคิ (สิงคโปร์)
- ฌอน อีแวนส์ (ออสเตรเลีย)
CAF (แอฟริกา)
- เรดูอาน จิเยด (โมร็อกโก)
- อาดิล ซูรัค (โมร็อกโก)
CONCACAF (อเมริกาเหนือ)
- ดริว ฟิสเชอร์ (แคนาดา)
- เฟอร์นันโด เกย์เรโร (เม็กซิโก)
- อาร์มันโด้ บีญาร์เรอัล (สหรัฐอเมริกา)
CONMEBOL (อเมริกาใต้)
- ฮูลิโอ บาสคูนัน (ชิลี)
- นิโคลัส กาโญ (โคลอมเบีย)
- ลีโอดาน กอนซาเลซ (อุรุกวัย)
- ฆวน โซโต้ (เวเนซูเอลา)
- เมาโร วิเกลียโน (อาร์เจนตินา)
UEFA (ยุโรป)
- เฌโรม บริซาร์ด (ฝรั่งเศส)
- บาสเตียน ดังเกอร์ต (เยอรมนี)
- ริคาร์โด้ เดอ เบนโกส (สเปน)
- มาร์โก ฟริตซ์ (เยอรมนี)
- อเลฮานโดร เฮร์นันเดซ (สเปน)
- มัสซิมิเลียโน อิร์ราติ (อิตาลี)
- โทมาสซ์ ควิตคอฟสกี้ (โปแลนด์)
- ฆวน มานูเอรา (สเปน)
- เบอนัวต์ มิลลอต (ฝรั่งเศส)
- เปาโล วาเลรี (อิตาลี)
- โพล ฟาน โบเคล (เนเธอร์แลนด์)
มาสคอต ฟุตบอลโลก 2022
มาสคอตในฟุตบอลโลกปีนี้มีชื่อว่า "ลาอีบ" ตัวละครที่มีภาพลักษ์ของความสนุนสนานในจักรวาลของมาสคอต ซึ่งแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่มักจะใช้สิ่งมีชีวิตที่มีตัวตนอยู่จริงมาเป็นต้นแบบ โดยเจ้าภาพกล่าวถึงสัญลักษณ์ในการแข่งขันครั้งนี้ว่า "ลาอีบ มีส่วนร่วมกับฟุตบอลโลกทุกครั้งที่ผ่านมา ร่วมถึงการเกิดขึ้นของเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในฟุตบอลโลกครั้งก่อน ๆ อีกด้วย"
ลาอีบ ในภาษาอาหรับหมายถึง ผู้เล่นที่มีความสามารถขั้นสูง
ลูกฟุตบอลที่ใช้ใน ฟุตบอลโลก 2022
ปีนี้ ฟีฟ่า และ อดิดาส ได้ทำการเปิดตัวลูกฟุตบอลชื่อ "อัล ริห์ลา" ที่หมายความว่า "การเดินทาง" ซึ่งจะมีจุดเด่นอยู่ที่ความเร็วของลูกฟุตบอลที่มาจากการใช้กรรมวิธีพิเศษผลิตขึ้นมาจากหมึกและกาวน้ำ
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด