จบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม!? : ก่อนถึงชิง ยูโร 2024 สถิติฟ้อง สเปน ชนะรวด 'ทุกนัดชิง' คว้าทุกแชมป์นับแต่ปี 2002 - FEATURE
• พูดได้ว่า สเปน และทีมสเปน คือผู้เชี่ยวชาญด้านการคว้าแชมป์
• และเดี๋ยว สเปน จะชิง ยูโร 2024 กับ อังกฤษ...
ก่อนจะถึงนัดชิง ยูโร 2024 ระหว่าง สเปน กับ อังกฤษ อีกหนึ่งสถิติที่ถูกขุดคุ้ย และถึงไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าคือถัดจากที่ เดปอร์ติโบ อลาเบส พ่ายดวลจุดโทษให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดชิง ยูฟ่า คัพ ปี 2001 แล้ว จากนั้นเป็นต้นมา "สเปนและตัวแทนสเปน" ก็ไม่เคยแพ้ให้ใครอีกเลย ลงเล่นนัดชิงเมื่อไหร่ ก็คว้าแชมป์ได้เมื่อนั้น
ทั้งฟุตบอลโลก - ยูโร - ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก - ยูฟ่า คัพ / ยูโรป้า ลีก ตั้งแต่ปี 2002 มาจนวันนี้ นับรวม 22 นัดชิงชนะเลิศ สเปน ไม่เคยแพ้ (ไม่นับที่ สเปน ชิงกันเองด้วย) จนอาจพูดได้ว่า สเปน และทีมสเปน คือผู้เชี่ยวชาญด้านการคว้าแชมป์ ด้านการเอาตัวรอด กำชัยในนัดชิงถ้วย
ข้อเท็จจริงขยุ้มด้านล่างนี้ อาจเป็นการสื่อความหมายถึงตอนจบ ยูโร 2024 ที่ สเปน จองแชมป์มาจากบ้าน ลงชื่อคว้าแชมป์ไว้ตั้งแต่ยังไม่ลงเตะ... จบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม!
2002 : ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
- เรอัล มาดริด ชนะ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น 2-1
แฮมพ์เดน พาร์ค, กลาสโกว์, สกอตแลนด์
ทะยานเข้าชิงมาได้อย่างเซอร์ไพรส์ สำหรับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ที่เขี่ยทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ยูไนเต็ด พ้นทางไปในรอบน็อกเอาต์ แต่ผลลัพธ์นัดชิงที่กลาสโกว์ ไม่มีเซอร์ไพรส์อะไรมาโชว์ ชัยชนะตกเป็นของตัวแทนสเปนอย่าง เรอัล มาดริด ด้วยประตูชัยสุดคลาสสิก ลูกวอลเลย์ลูกนั้นของผู้เป็นตำนานอย่าง ซีเนอดีน ซีดาน
2004 : ยูฟ่า คัพ
- บาเลนเซีย ชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย 2-0
อุลเลวี่, โกเตนบอร์ก, สวีเดน
ไอ้ค้างคาว บาเลนเซีย ยุคทองของ ราฟาเอล เบนิเตซ เอาชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย ได้อย่างหมดจด ด้วยประตูของ บิเซนเต้ โรดริเกซ กับ มิเกล อังเคล มิสต้า ทั้งที่ โอแอ็ม ชุดนั้น แต่ละตัวใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ ทั้ง ดิดิเย่ร์ ดร๊อกบา, สตีฟ มาร์กเล่ต์, มาติเยอ ฟลามินี่ หรือ ฟาเบียง บาร์กเตซ แต่ก็คงเพราะจุดเปลี่ยนอย่างใบแดงพร้อมจุดโทษของ บาร์กเตซ ท้ายครึ่งแรกนั่นเอง
2006 : ยูฟ่า คัพ
- เซบีย่า ชนะ มิดเดิ้ลสโบรช์ 4-0
พีเอสวี สตาดิโอน, ไอนด์โฮเฟ่น, เนเธอร์แลนด์
จุดสูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร มิดเดิ้ลสโบรช์ ที่เหลืออีกก้าวเดียวจะไปถึงแชมป์ยุโรป ถูกขัดขวางเอาไว้ด้วยความแกร่ง (เกิ๊น!) ของ เซบีย่า ที่ได้ประตูถล่มแหลก 4-0 จาก หลุยส์ ฟาเบียโน่, เฟดริก กานูเต้ และ 2 เม็ดของ เอ็นโซ มาเรสก้า มิดฟิลด์อิตาลี ผู้ซึ่งกลายมาเป็นกุนซือ เชลซี คนปัจจุบัน
2006 : ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
- บาร์เซโลน่า ชนะ อาร์เซน่อล 2-1
สต๊าด เดอ ฟร้องซ์, แซงต์-เดอนีส์, ฝรั่งเศส
เข่นเดียวกับ เดอะ โบโร่ คือ อาร์เซน่อล เหลือก้าวเดียวเท่านั้นก็จะผงาดครองบัลลังก์แชมป์ยุโรปถ้วยใหญ่ใบโตได้สำเร็จ แต่ก็กลับถูกขวางไว้โดย บาร์เซโลน่า ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (แห่งเมสซี่) ที่ยังถือว่าน่าเสียดายคูณสองคูณสามไปเลย กับการที่ อาร์เซน่อล อุตส่าห์นำก่อนแล้วจาก โซล แคมป์เบลล์ น.37 แต่ดันแผ่วปลาย เสียให้ ซามูเอล เอโต้ และ ชูเลียโน่ เบลเล็ตติ ในราวสิบนาทีท้าย
2008 : ยูโร
- สเปน ชนะ เยอรมนี 1-0
แอร์นสท์-ฮัปเปิล-สตาดิโอน, เวียนนา, ออสเตรีย
จุดเริ่มต้นความเกรียงไกรของทัพกระทิงดุ สเปน ในระดับนานาชาติ ภายใต้การทำทีมของขรัวเฒ่า หลุยส์ อราโกเนส ผู้ล่วงลับ ซึ่งทำให้ทัวร์นาเมนต์นั้นเป็นของ สเปน อย่างแท้จริง ชนะ 3 เกมรอบแรก ต่อด้วยชนะจุดโทษ อิตาลี และถล่มม้ามืด รัสเซีย 3-0 กระทั่งเข้าวินเหนือ เยอรมนี 1-0 ด้วยการสังหารของ เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่เวลานั้นกำลังเปรี้ยงปร้างกับ ลิเวอร์พูล อยู่พอดี
2009 : ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
- บาร์เซโลน่า ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-0
สตาดิโอ โอลิมปิโก, โรม, อิตาลี
แมนฯ ยูไนเต็ด ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาแรงขนาดไหน ก็ไม่อาจผ่าน บาร์ซ่า ยุคดรีมทีม ลิโอเนล เมสซี่ - เธียร์รี่ อองรี - ซามูเอล เอโต้- ชาบี เอร์นานเดซ - อันเดรส อิเนียสต้า ไปได้ ตรงกันข้าม ออกจะเป็น "งานสบาย" ของ บาร์ซ่า ด้วยซ้ำที่ได้ประตูนำตั้งแต่สิบนาทีแรกจาก เอโต้ ก่อนปิดด้วย เมสซี่ ยี่สิบนาทีท้าย
2010 : ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก
- แอตเลติโก มาดริด ต่อเวลาชนะ ฟูแล่ม 2-1
โฟล์คพาร์คสตาดิโอน, ฮัมบูร์ก, เยอรมนี
อีกเช่นกันที่ ฟูแล่ม คิดจะเกิด ก็ถูกคุมกำเนิดโดยทีมสเปนอย่าง แอตเลติโก มาดริด ในปีแรกที่ปรับเปลี่ยนจาก ยูฟ่า คัพ มาเป็น ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ด้วยดาวยิงตัวแสบอย่าง ดีเอโก้ ฟอร์ลัน ที่เหมาซัด 2 ตุง สยบเจ้าสัวน้อยลงที่เมืองเบียร์
2010 : ฟุตบอลโลก
- สเปน ต่อเวลาชนะ เนเธอร์แลนด์ 1-0
ซอคเก้อร์ ซิตี้, โจฮันเนสเบิร์ก, แอฟริกาใต้
ตอนต่อของยุคทองแห่งกระทิงดุ สเปน ที่แม้จะเปลี่ยนตัวกุนซือเป็น บิเซนเต้ เดล บอสเก้ แล้ว แต่ด้วยขุมกำลังขั้นสุดยอดจาก บาร์ซ่า - เรอัล มาดริด ก็ทำให้ไม่มีใครสามารถต้านทานกระทิงตัวนี้ได้อยู่ แม้จะแพ้ สวิตเซอร์แลนด์ ในเกมแรกของรอบแบ่งกลุ่ม แต่ถัดจากนั้นคือการติดเครื่องชนะรวด รวมถึงนัดชิงที่หักปีกกังหัน เนเธอร์แลนด์ 1-0 ด้วยประตูโทนของ อันเดรส อิเนียสต้า ก่อนหมดช่วงต่อเวลาพิเศษแค่ 4 นาที
2011 : ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
- บาร์เซโลน่า ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1
เวมบลีย์ สเตเดี้ยม, ลอนดอน, อังกฤษ
การโคจรมาพบกันอีกครั้งของ "ปีศาจ" กับ "มนุษย์ต่างดาว" ที่คราวนี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องเอ่ยปากยอมศิโรราบให้กับ บาร์ซ่า แต่โดยดี ว่าแม้จะได้ เวย์น รูนี่ย์ พังประตูตีเสมอในครึ่งแรก แต่เมื่อเข้าครึ่งหลังแล้ว บาร์ซ่า ก็สนุกอยู่ฝ่ายเดียว ได้เม็ดสองจาก ลิโอเนล เมสซี่ และเม็ดสามจาก ดาบิด บีย่า
2012 : ยูโร
- สเปน ชนะ อิตาลี 4-0
โอลิมปิสกี้, เคียฟ, ยูเครน
การเพิ่มเติมความสมบูรณ์แบบของ สเปน ชุดกระบี่...ไร้เทียมทาน ที่แม้จะเจียนอยู่เจียนไปในรอบตัดเชือก กว่าจะเขี่ย โปรตุเกส พ้นทางไปได้ด้วยการดวลจุดโทษ แต่เมื่อถึงเกมชิงดำแล้ว ขุนพลกระทิงของ เดล บอสเก้ ก็ผ่าน อิตาลี ได้อย่างง่ายดายเกินคาด ด้วยประตูแบบดาหน้ากันเข้ามาซัดของ ดาบิด ซิลบา, จอร์ดี้ อัลบา, เฟร์นานโด ตอร์เรส และ ฆวน มาต้า
2014 : ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก
- เซบีย่า ชนะจุดโทษ เบนฟิก้า 4-2
ยูเวนตุส สเตเดี้ยม, ตูริน, อิตาลี
ว่างเว้นจากแชมป์ ยูฟ่า คัพ มาได้พักใหญ่ แต่ถือว่าเส้นทางความเป็นใหญ่ในถ้วยใบรองของ เซบีย่า คงเริ่มต้นจากตรงนี้ ที่เกมสู้กันยืดเยื้อถึงดวลจุดโทษ (120 นาทีไม่มีสกอร์) และ เซบีย่า สยบ เบนฟิก้า ยุคมี ยาน โอบลัค เฝ้าเสา ลงได้อย่างลุ้นระทึก 4-2
2015 : ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก
- เซบีย่า ชนะ ดนิโปร ดนิโปรเปตรอฟส์ค 3-2
เนชันแนล สเตเดี้ยม, วอร์ซอว์, โปแลนด์
ต่อเนื่องในปีถัดมา ที่ เซบีย่า ได้เจอกับม้ามืดชื่อเรียกยากอย่าง ดนิโปร ดนิโปรเปตรอฟส์ค จากยูเครน ในนัดชิงชนะเลิศที่โปแลนด์ แต่ก็หาได้เป็นปัญหาไม่ แม้อาจต้องลุ้นกันหนักหน่อย ก่อนจะเฉือนชนะ 3-2 ท้ายเกม ด้วยสองประตูของ คาร์ลอส บัคก้า
2015 : ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
- บาร์เซโลน่า ชนะ ยูเวนตุส 3-1
โอลิมเปียสตาดิโอน, เบอร์ลิน, เยอรมนี
ยูเว่ อาจจะอัดแน่นด้วยนักเตะชั้นยอด ทั้ง ปอล ป๊อกบา, คาร์ลอส เตเวซ, อันเดรีย ปีร์โล่, อาร์ตูโร่ วิดัล หรือ อัลบาโร่ โมราต้า แต่โทษทีว่า บาร์ซ่า ปึ้กกว่าเยอะด้วย MSN เมสซี่ - ซัวเรซ - เนย์มาร์ พร้อมด้วย อิเนียสต้า, ราคิติช, มาสเคราโน่ หรือ ดานี่ อัลเวส ผลสุดท้ายจึงไม่ได้เหนือความคาดหมายที่ทีมสเปนผ่านสบาย 3-1 ราคิติช, ซัวเรซ, เนย์มาร์ คนละเม็ด
2016 : ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก
- เซบีย่า ชนะ ลิเวอร์พูล 3-1
แซงต์ ยาค็อบ-พาร์ค, บาเซิ่ล, สวิตเซอร์แลนด์
ลิเวอร์พูล ยุคต้อนรับ เยอร์เก้น คล็อปป์ หมายมั่นปั้นมือจะนำแชมป์ยุโรปถ้วยแรกมามอบให้เจ้านายให้จงได้ แต่ปัญหาอยู่ที่พวกเขาดันต้องเจอ "ผู้เชี่ยวชาญด้านการชนะนัดชิง" จากสเปนอย่าง เซบีย่า นั่นเอง ผลจึงเป็น เซบีย่า กำชัย 3-1 ด้วยประตูของ เควิน กาไมโร่ และสองเม็ดของ โกเก้ ซึ่งทำให้ เซบีย่า คว้าแชมป์ถ้วยนี้ถึง 3 ปีซ้อน
2017 : ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
- เรอัล มาดริด ชนะ ยูเวนตุส 4-1
ซาน ซิโร่, มิลาน, อิตาลี
ช้ำแล้วช้ำอีก ช้ำซ้ำช้ำซ้อนเหมือนมี แฮร์รี่ เคน อยู่ในทีม นั่นคือ ยูเวนตุส ยุคนั้น ที่ถัดจากการแพ้ บาร์เซโลน่า มาแหมบๆ ก็ดันต้องมาเจอโคตรทีมกระทิงอย่าง เรอัล มาดริด อีกในนัดชิงที่มิลาน และผลก็ออกมาขาดลอยเกินคาด ชุดขาวกราดยิง 4-1 ด้วยสองประตูของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ บวกด้วย กาเซมิโร่ และ มาร์โก อเซนซิโอ
2018 : ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก
- แอตเลติโก มาดริด ชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย 3-0
ปาร์ก โอลิมปิก ลียง, ลียง, ฝรั่งเศส
อีกหนึ่งคู่ชิงที่ผลออกขาดเกินคาด แอตเลติโก มาดริด ชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย 3-0 ด้วยการเช็คบิลของ อองตวน กรีซมันน์ สองตุง และ กาบี อเรนาส ทั้งที่นัดนี้ ตราหมีเหมือนไปเป็นทีมเยือน ลงเตะที่แดนน้ำหอมแท้ๆ
2018 : ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
- เรอัล มาดริด ชนะ ลิเวอร์พูล 3-1
โอลิมปิสกี้, เคียฟ, ยูเครน
ต่อเนื่องกันไปเลย กับหลังจากที่ถล่ม ยูเว่ 4-1 นัดชิงปีก่อนแล้ว ก็ตามด้วยการถลุง ลิเวอร์พูล 3-1 ที่ยูเครน ซึ่งคราวนี้เปลี่ยนพระเอกของเกมชิงดำเป็น แกเร็ธ เบล ที่จัดการสองตุง บวกกับ คาริม เบนเซม่า ที่จัดเม็ดแรก...และต้องนับรวม ลอริส คาริอุส ด้วยที่สร้างข้อผิดพลาดจนเสียง่ายๆ 2 ประตู ตัดเส้นทางอาชีพของตัวเองกับทีมหงส์แดง ลงแต่เพียงเท่านี้
2020 : ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก
- เซบีย่า ชนะ อินเตอร์ มิลาน 3-2
สตาดิโอน โคโลญ, โคโลญ, เยอรมนี
หลายฝ่ายมองว่า เซบีย่า (และทีมสเปน) ได้เฮมาหลายรอบ ควรถึงเวลาเปลี่ยนมือให้ชาวบ้านเขาบ้างได้แล้ว โดยเฉพาะ อินเตอร์ มิลาน ชุดนี้ที่นำมาโดย เลาตาโร มาร์ติเนซ, โรเมลู ลูกากู, มาร์เซโลน่า โบรโซวิช และ แอชลี่ย์ ยัง แต่สุดท้ายก็ยังไม่วาย เสร็จ เซบีย่า แบบที่ดันเป็น ลูกากู ทำเข้าประตูตัวเองในลูกตัดสินเกมเสียด้วย (หลังจาก ลุค เดอ ยอง ซัดสอง)
2021 : ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก
- บียาร์เรอัล ชนะจุดโทษ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 11-10
สตาดิโอน กดังค์ส, กดังค์ส, โปแลนด์
ไม้ผลัดถูกส่งต่อจากมือ เซบีย่า มาสู่ บียาร์เรอัล บ้าง ในเกมโคตรมาราธอน เสมอ 1-1 ใน 90 นาที, เสมอสกอร์เดิมใน 120 นาที และดวลจุดโทษ เรียงคิวกันมายิงรวมแล้วถึง 22 คน ก่อนตัดสินชี้ขาดกันที่นายประตูสองฝั่ง ซึ่ง เคโรนิโม่ รูยี่ ยิงได้ไม่พลาด ก่อนลุกขึ้นมาเซฟลูกซัดของ ดาบิด เด เคอา เป็นการปิดเกมนำชัยให้อีกหนึ่งตัวแทนสเปน
2022 : ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
- เรอัล มาดริด ชนะ ลิเวอร์พูล 1-0
สต๊าด เดอ ฟร้องซ์, แซงต์-เดอนีส์, ฝรั่งเศส
เกมแก้มือที่บรรดา เดอะ ค็อป เชื่อลึกๆ ว่าจะชำระแค้น เอาคืน เรอัล มาดริด ได้ เมื่อเทียบคุณภาพนักเตะตัวต่อตัว ลิเวอร์พูล ดูเหนือกว่าด้วยซ้ำกับการมี SML ซาลาห์ - มาเน่ - หลุยส์ ดิอาซ นำเกมรุก และตรงกลางหรือข้างหลังก็หนั่นแน่น แต่สุดท้าย ก็ยังคงเป็น เรอัล มาดริด เข้าป้ายผงาดแชมป์ได้อยู่ดีจากประตูโทนของ วินิซิอุส จูเนียร์
2023 : ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก
- เซบีย่า ชนะจุดโทษ โรม่า 4-1
ปุสกัส อารีน่า, บูดาเปสต์, ฮังการี
แชมป์หนล่าสุด ที่นับเป็นสมัยที่ 7 เข้าไปแล้วของ เซบีย่า กับการสู้กับ โรม่า อย่างถึงพริกถึงขิง ครบ 120 นาทีด้วยผลเสมอ 1-1 กระนั้นเมื่อถึงดวลจุดโทษแล้ว เซบีย่า ก็ฉีกกันแบบขาดๆ ชนะใสด้วยสกอร์ 4-1 หลังจากแข้งหมาป่ายิงพลาด 2 รายด้วยกัน (จานลูก้า มันชินี่, โรเชร์ อิบันเยซ)
2024 : ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
- เรอัล มาดริด ชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2-0
เวมบลีย์ สเตเดี้ยม, ลอนดอน, อังกฤษ
ก็เพิ่งเมื่อ 1 มิ.ย. นี่เองที่ตัวแทนสเปน ผงาดง้ำค้ำบัลลังก์แชมป์ ในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เจ้าเก่าเล่ายี่ห้ออย่าง เรอัล มาดริด ของ คาร์โล อันเชล็อตติ ไม่ปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดอะไรทั้งสิ้น ผ่านม้ามืดอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สบายแฮ 2-0 แม้จะต้องรอนานหน่อยกว่าจะได้เฮจาก ดานี่ การ์บาฆัล น.74 และ วินิซิอุส จูเนียร์ น.83 ก็ตาม
- หมายเหตุ
แต่แม้จะ "ฟาดเรียบ" ในทุกถ้วยที่กล่าวมา ตัวแทนของ สเปน ก็ยังแพ้เป็นอยู่เหมือนกันในนัดชิงของถ้วยต่างทวีป เช่น สโมสรโลก ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ หรือ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ เช่นปี 2006 ที่ บาร์เซโลน่า แพ้ อินเตอร์นาซิอองนาล จากบราซิล 0-1 เป็นต้น หรือแม้แต่ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ก็เร็วๆ นี้ ปี 2023 นี่เองที่ เซบีย่า แพ้ แมนฯ ซิตี้ หรือ 2021 บียาร์เรอัล แพ้ เชลซี