ย้อนรอยขุมกำลังช่วงปลายยุคทอง เอซี มิลาน ชุดครองเจ้ายุโรปหนสุดท้ายฤดูกาล 2006/07 - FEATURE
แม้จะกลับมาผงาดได้อีกครั้งกับผลงานในซีซั่นก่อน (2020/21) สำหรับ เอซี มิลาน ที่คว้ารองจ่าฝูงได้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปีหลังจากทำได้หนล่าสุดเมื่อปี 2012 แต่อย่างไรก็ตามในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นั้น คงไม่ต้องพูดถึงการเป็นแชมป์ แค่ได้เข้ามาร่วมยังยากชนิดเลือดตาแทบกระเด็นตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
วันนี้เราจึงอยากพาแฟน 90Min ทุกท่านย้อนกลับไปในฤดูกาล 2006/07 ช่วงที่หลายคนเรียกว่าเป็นปลายยุคทองของ ปีศาจแดงดำ ปีที่พวกเขาสามารถคว้าถ้วย "บิ๊กเอียร์" มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งสุดท้าย เราจะย้อนรอยไปชมกันว่าขุมกำลังในชุดนั้นจะแกร่งเพียงใด ลองมาดูกัน
ผู้จัดการทีม - คาร์โล อันเชล็อตติ
ยอดผู้จัดการทีมชาวอิตาลีที่เข้ามาคุมทีมตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2001 ก่อนจะพาทีมประสบความสำเร็จมากมาย ซึ่งในซีซั่น 2006/07 เจ้าตัวพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปเป็นหนที่สองหลังจากเคยทำสำเร็จมาแล้วเมื่อปี 2003 กระทั่งสุดท้ายตัดสินใจย้ายย้ายไปคุม เชลซี ในปี 2009 ปิดฉากเส้นทางในถิ่น ซาน ซิโร ไปอย่างงดงามในที่สุด
ผู้รักษาประตู
ดีด้า ยังคงเป็นมือหนึ่งให้กับทีมในปีนั้น แม้จะถูกตั้งคำถามเรื่องความแน่นอน แต่ประโยคที่ว่า มิลาน ไม่จำเป็นต้องมีนายทวารเก่ง ๆ เพราะพวกเขามักจะมีกองหลังระดับโลกดูจะยังคงใช้ได้ในยุคนั้น โดยมี เซลโก คาลัค และ มาร์โก สโตรารี เป็นมือสองและสามตามลำดับ
กองหลัง
อย่างที่กล่าวไปว่า เอซี มิลาน มักจะมีกองหลังระดับแนวหน้าของยุโรปเสมอ ๆ โดยปีนี้ชื่อของหลาย ๆ คนยังคงเป็นที่รู้จักคุ้นหูแต่ส่วนใหญ่อายุเริ่มเยอะกันแล้วทั้ง คาฟู แบ็คขวาตัวหลักที่อายุปาเข้าไป 36 ปี เปาโล มัลดินี 38 ปี อเลสซานโดร คอสตากูต้า 40 ปี อเลสซานโดร เนสต้า 30 ปี จูเซปเป้ ฟาวัลลี 34 ปี ดาริโอ ซิมิช 30 ปี มัสซิโม อ็อดโด้ 30 ปี แซร์จินโญ 35 ปีโดยมีเพียง 3 รายเท่านั้นที่อายุไม่ถึงเลขสามได้แก่ ดานิเอลเล โบเนรา มาเรค แยนคูลอฟสกี้ และ คาก้า คาลัดเซ เท่านั้น
กองกลาง
ต้องบอกว่ากำลังอยู่ในช่วงพีคแทบทุกคนสำหรับเหล่ามิดฟิลด์ซุเปอร์สตาร์ชื่อดังทั้ง อันเดรีย ปีร์โล คลาเรน เซดอฟ เจนนาโร กัตตูโซ คริสเตียน บลอคคี มัสซิโม อัมโบรซินี ที่เป็นตัวหลักให้กับในปีนั้นทีมบวกกับ 2 พลังหนุ่มอย่าง โยฮันน์ กูร์คูฟฟ์ ดาวรุ่งพุ่งแรงชาวฝรั่งเศส และเดอะแบกที่ขาดไปไม่ได้อย่าง "ผีกาก้า" ริคาร์โด้ กาก้า ยอดเพลย์เมคเกอร์ชาวบราซิล ที่โดงดังกับการซัดไป 3 ประตูจาก 2 เลกเขี่ย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกรอบ 4 ทีมสุดท้ายในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไป จนสุดท้ายก็สามารถคว้า บัลลงดอร์ มาครองได้ในซีซั่นดังกล่าว
กองหน้า
ต้องบอกว่าปีนั้นศูนย์หน้า มิลาน ดูจะไม่สามารถยิงประตูถล่มทลายได้หลังจากการจากไปของ อังเดร เชฟเชนโก้ เพราะทั้ง โรนัลโด้ ก็ยังประสบปัญหาอาการบาดเจ็บและแทบไม่ได้ลงเล่นตลอดทั้งปี ยิงได้เพียง 7 ประตูรวมทุกรายการ ตัวความหวังในปีนั้นอย่าง อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน ก็ยังไม่สามารถระเบิดฟอร์มเก่งออกมาได้ ส่วนในรายของ มาร์โก บอร์ริเอลโล และ ริคาร์โด้ โอลิเวรา ก็ทำได้เพียงเป็นอะใหล่เท่านั้น แต่ที่ขาดไม่ได้คือหอกตัวเก๋าวัย 32 ปีอย่าง ฟิลิโป้ อินซากี้ ที่แม้จะยิงรวมกันทุกรายการได้เพียง 11 ประตูแต่นั่นรวมถึง 2 ประตูในเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่เฉือนเอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปไปได้ 2-1 อีกด้วย
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด