อาร์เจนตินา 3-3 (PK 4-2) ฝรั่งเศส: บทสรุป 10 ประเด็นหลังเกม ฟุตบอลโลก นัดชิงชนะเลิศที่ตราตรึงที่สุดในประวัติศาสตร์

Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022
Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022 / Marc Atkins/GettyImages
facebooktwitterreddit

รายการ: ฟุตบอลโลก 2022 รอบชิงชนะเลิศ
วันแข่งขัน: คืนวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2022
ผลการแข่งขัน: อาร์เจนตินา 3-3 ฝรั่งเศส (อาร์เจนตินา เอาชนะในการดวลลูกจุดโทษ 4-2)
สนาม: ลูซาอิล ไอคอนิค สเตเดี้ยม


1. ดิ มาเรีย ที่ฝั่งซ้าย

Angel Di Maria
Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022 / Chris Brunskill/Fantasista/GettyImages

ลิโอเนล สคาโลนี สร้างเซอร์ไพรส์ในการจัดทัพโดยการส่งเอา อังเคล ดิ มาเรีย ไปประจำการที่กราบซ้ายในบทบาทปีกซ้ายคลาสสิค โจมตี ฌูลส์ คุนเด้ และกลายเป็นหมากที่ทำเอา ฝรั่งเศส ออกอาการเป๋อย่างเห็นได้ชัด

ดิ มาเรีย มีส่วนกับประตูแรกโดยการเรียกจุดโทษจาก อุสมาน เดมเบเล ให้ ลิโอเนล เมสซี สังหารก่อนที่เจ้าตัวจะเป็นคนแท็ปอินลูกแอสซิสต์ของ อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ เป็นประตู 2-0 ตั้งแต่ก่อนจบครึ่งแรกและน้ำตาที่เจ้าตัวหลั่งออกมาเมื่อทำประตูได้แสดงให้เห็นว่ามันสำคัญเพียงใดสำหรับดาวเตะวัย 34 ปีรายนี้

2. เมสซี สร้างประวัติศาสตร์

Lionel Messi
Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022 / Marvin Ibo Guengoer - GES Sportfoto/GettyImages

ลิโอเนล เมสซี ยังคงเป็นศูนย์กลางในเกมรุกของ อาร์เจนตินา เช่นเคยกับบทบาทกองหน้าเคียงข้างกับ ชูเลียน อัลบาเรซ คอยสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมรวมทั้งจบสกอร์ด้วยตนเอง

เมสซี ลงเอยด้วยการทำ 2 ประตูใน 120 นาทีและสังหารจุดโทษเป็นคนแรกผ่านมือ อูโก้ ยอริส อย่างเยือกเย็น การทำประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มีชื่อบนสกอร์บอร์ดในทุกรอบของ เวิลด์คัพ ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม, รอบ 16 ทีมสุดท้าย, รอบ 8 ทีมสุดท้าย, รอบรองชนะเลิศ และเกมนัดชิงฯ

โดยหลังจบเกม เจ้าตัวยังได้รับรางวัล โกลเด้นบอล ซึ่งเป็นที่แสดงให้เห็นว่าเขาคือนักเตะที่ดีที่สุดของทัวร์นาเมนต์ และเป็นแข้งคนแรกที่คว้ารางวัลดังกล่าวได้ 2 สมัย (2014 และ 2022)

3. เอ็นโซ เฟร์นันเดซ หัวใจที่แดนกลาง

Enzo Fernandez
Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022 / BSR Agency/GettyImages

เอ็นโซ เฟร์นันเดซ มิดฟิลด์วัย 21 ปีเป็นแข้งที่ปิดทองหลังพระของ อาร์เจนตินา ทั้งในเกมนี้และตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์

เจ้าตัวคอยบัญชาเกมที่กลางสนามคอยเซ็ตเกมจากแดนมิดฟิลด์และกลายเป็นนักเตะที่ได้สัมผัสบอลมากที่สุดในเกมนี้ (118 ครั้ง), ผ่านบอลมากที่สุด​ (77 ครั้ง) และเอาชนะในการเบียดเข้าปะทะมากที่สุด (10 ครั้ง)

โดย เฟร์นันเดซ ยังได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำ ฟุตบอลโลก 2022 หลังจบเกม

4. โรดริโก้ เดอ ปอล คีย์แมนที่ฝั่งขวา

Theo Hernandez, Rodrigo De Paul
Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022 / Clive Brunskill/GettyImages

โรดริโก้ เดอ ปอล ขับเคลื่อนเกมที่ฝั่งขวาของ อาร์เจนตินา โดยการเล่นอย่างมีวินัยทั้งในเกมรับและเกมรุกหยุดการประสานงานที่กราบซ้ายของทีมเยือนอย่าง คิลิยัน เอ็มบัปเป้ กับ เตโอ แอร์น็องเดซ อยู่หมัดในช่วงต้น ทำให้งานของ นาเวล โมลินา เบาลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

มิดฟิลด์สังกัด แอตเลติโก มาดริด รายนี้เป็นหนึ่งในแข้งผู้เป็นทองหลังพระให้กับทัพ ฟ้าขาวอีกราย

5. ชิรูด์-เดมเบเล ถูกถอดออกตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก, กรีซมันน์ บอดสนิท

Olivier Giroud, Marcus Thuram
Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022 / James Williamson - AMA/GettyImages

เกมรุกของ ฝรั่งเศส เงียบสนิทอย่างที่ไม่สามารถเจาะเข้าแดนอันตรายของ อาร์เจนตินา ได้เลยแม้แต่น้อย ชนิดที่โอกาสยิงครั้งแรกของลูกทีม ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ ต้องรอจนถึงนาทีที่ 68

จอมทัพที่แดนกลางของพวกเขาอย่าง อองตวน กรีซมันน์ ถูกตัดออกจากเกมส่งผลให้การลำเลียงบอลของ เลส์ เบลอส์ ไม่ลื่นไหลอย่างเคย เมื่อไร้บอลคิลเลอร์พาสของดาวเตะสังกัด ตราหมี จากแดนมิดฟิลด์ก็ทำให้ทั้ง เอ็มบัปเป้, อุสมาน เดมเบเล และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ แทบไม่มีส่วนร่วมกับเกมเลย

เดส์ช็องส์ ตัดสินใจเด็ดขาดตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งเวลาแรกโดยการถอดเอาทั้ง ชิรูด์ กับ เดมเบเล ออกจากสนามแทนที่โดย มาร์คัส ตูราม และ ร็องดาล โคโล มูอานี ลงไปปั้นเกมที่ริมเส้นทั้ง 2 ฝั่งและขยับเอา คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ไปเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า ก่อนที่ กรีซมันน์ จะถูกถอดออกจากสนามในนาทีที่ 71 แทนที่โดยหนึ่งในแข้งที่เปลี่ยนโมเมนตัมของเกมอย่าง คิงสลีย์ โกม็อง

6. โกม็อง ตัวสำรองจุดประกาย

Kingsley Coman, Lionel Messi
Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022 / Buda Mendes/GettyImages

คิงสลีย์ โกม็อง ลงมาประจำการที่ริมเส้นฝั่งขวาพร้อมกันการที่ทีมเปลี่ยนรูปแบบมาใช้งานแผน 4-4-2 เมื่อเกมเหลือเวลาอีกราว 20 นาทีสุดท้าย

โกม็อง สร้างความหวือหวาที่เกมรุกฝั่งขวาอย่างเห็นได้ชัดจากทักษะการพาบอลไปด้วยตนเองและความแข็งแกร่งของร่างกาย เขากลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญพาทีมตามตีเสมอ 2-2 ในนาทีที่ 81 เมื่อเป็นคนตัดบอลจากเท้าของ เมสซี ได้ที่กลางสนาม ก่อนจะนำไปสู่การโจมตีอย่างรวดเร็วจากขวาไปซ้ายสู่ มาร์คัส ตูราม และจบด้วยการวอลเลย์สุดสวยของ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ส่งให้เกมยืดเยื้อต่อเนื่องถึงการต่อเวลาพิเศษ

7. ช่วงเวลาของ เอ็มบัปเป้

FBL-WC-2022-MATCH64-ARG-FRA
FBL-WC-2022-MATCH64-ARG-FRA / ADRIAN DENNIS/GettyImages

79 นาทีที่ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ แทบล่องหนไปจากเกม ก่อนที่เจ้าตัวจะลงเอยด้วยการตะบันแฮตทริคสำเร็จเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดจบเกม

ดาวเตะวัย 23 ปีพังประตูตีไข่แตกจากลูกจุดโทษที่สังหารไม่พลาดในนาทีที่ 80 ก่อนที่จะเอี้ยวตัววอลเลย์เป็นประตูตีเสมออีก 1 นาทีถัดมา ต่อลมหายใจของทัพ ตราไก่ ไปจนถึง เขายังเป็นคนรับหน้าที่สังหารลูกจุดโทษในช่วงท้ายของการต่อเวลาพิเศษในสถานการณ์ที่ทีมต้องการประตูเพื่อตามตีเสมออีกด้วย

โดย เอ็มบัปเป้ กลายเป็นนักเตะคนแรกที่สามารถซัลโวแฮตทริคได้ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ที่ เจฟฟ์ เฮิร์สท์ ทำได้กับ อังกฤษ ใน เวิลด์คัพ 1966 และเจ้าตัวยังลงเอยด้วยรางวัลดาวซัลโวสูงสุดที่ 8 ประตู นับเป็นแข้งคนแรกนับตั้งแต่ โรนัลโด้ นาซาริโอ ที่ยิงประตูแตะหลักดังกล่าวใน 1 ทัวร์นาเมนต์ (2002)

8. ความมันส์ชนิดใส่ไข่ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

Kylian Mbappe, Lionel Messi
Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022 / Richard Sellers/GettyImages

แม้เดิมพันเกมนี้จะสูงลิบลิ่วเมื่อมีโทรฟีแชมป์โลกตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ทั้ง 2 ทีมเดินหน้าแลกหมัดกันชนิดไม่มีใครยอมใคร ไร้ซึ่งการดึงเวลาเพื่อไปตัดสินที่การดวลลูกจุดโทษ

ความพยายามของ อาร์เจนตินา สัมฤทธิ์ผลก่อนในนาทีที่ 108 เมื่อ เลาตาโร มาร์ติเนซ หลุดไปยิงยัดใส่ อูโก้ ยอริส ทุบบอลมาเข้าทาง เมสซี ตามซ้ำดาบสองในระยะเผาขนไม่พลาด ก่อนที่ทัพ ฟ้าขาว จะพลาดท่าทำแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษกลายเป็นลูกจุดโทษให้ เอ็มบัปเป้ สังหารผ่าน เอมิเลียโน มาร์ติเนซ เป็นครั้งที่ 3 ในนาทีที่ 118 ส่งผลให้เกมยาวต่อเนื่องไปจนถึงการดวลลูกจุดโทษ

9. ลูกจุดโทษชี้ขาดกับเกมที่ไม่ควรมีผู้ใดพ่ายแพ้

Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022
Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022 / James Williamson - AMA/GettyImages

ผลจากการเสมอกันในเวลา 120 นาที 3-3 ทำให้ทั้ง 2 ทีมต้องดวลจุดโทษชี้ขาดเพื่อตัดสินแชมป์ และกลายเป็น อาร์เจนตินา ที่แม่นเป้ากว่ายิงเข้าทั้งหมด 4 ลูก (เมสซี, ดิบาลา,​ ปาเรเดส และ มอนเทียล) โดยที่ มาร์ติเนซ รับบทฮีโร่เซฟลูกยิงของ ฝรั่งเศส 1 ครั้ง (ไม่เข้ากรอบ 1 ครั้ง)

ขณะที่ทีมชาติ ฝรั่งเศส ยิงเข้าเพียง 2 จาก 4 คนที่ทำหน้าที่สังหารได้แก่ เอ็มบัปเป้ (เข้า), โกม็อง (ไม่เข้า), ชูอาเมนี (ไม่เข้า), โคโล มูอานี (เข้า)

นับเป็นบทสรุปที่น่าเห็นใจเหล่าแข้ง ตราไก่ ไม่น้อยเมื่อพวกเขาก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้ง 120 นาที ยืนแลกหมัดดวลกับพลพรรค ฟ้าขาว ได้สมน้ำสมเนื้อชนิดที่หากถ้วยแชมป์ ฟุตบอลโลก ตกมาอยู่ในมือของพวกเขาก็ไม่เคอะเขินแต่อย่างใด ขณะที่ อาร์เจนตินา ก็ได้เขียนตอนจบที่สมบูรณ์แบบเติมเต็มเส้นทางการค้าแข้งของนักเตะระดับตำนานอย่าง ลิโอเนล เมสซี

10. ขึ้นหิ้งหนี่งในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกอันตราตรึง

Lionel Messi
Argentina v France: Final - FIFA World Cup Qatar 2022 / Julian Finney/GettyImages

ตลอดเส้นทางการดูฟุตบอลในช่วงชีวิตของผู้เขียน เกมนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2022 ระหว่าง อาร์เจนตินา กับ ฝรั่งเศส ขึ้นแท่นเป็นแมตช์ฟุตบอลที่ตราตรึงที่สุด และอาจกลายเป็นเกมที่น่าประทับใจที่สุดตลอดกาลสำหรับใครหลายๆ คน

บรรยากาศถูกโหมโรงตั้งแต่ชื่อชั้นของเหล่าแข้งดังของทั้งสองทีม นักเตะชูโรงคับคั่งชนิดที่แฟนบอลขาจรคุ้นตา เกมที่เชือดเฉือนกันด้วยแท็คติกตั้งแต่การจัดตัวออกสตาร์ท โมเมนตัมที่กลายเป็นของ อาร์เจนตินา อยู่ฝั่งเดียวตลอด 79 นาทีแรกก่อนที่ ฝรั่งเศส จะฉกฉวยโอกาสในนาทีที่ 80 และ 81 ส่งเกมยืดเยื้อจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ

อดรีนาลีนสูบฉีดชนิดนั่งแทบไม่ติดในช่วงท้ายเกมของการทดเวลาบาดเจ็บ ก่อนที่การยืนปักหลักแลกกันคนละหมัดนำมาสู่การได้ประตูของ อาร์เจนตินา ในนาทีที่ 108 และการตามตีเสมอของ ฝรั่งเศส นาที 118 ยิ่งทำให้อารมณ์ล้นทะลักชนิดอิจฉาตาร้อนเหล่าแฟนบอลในสนาม ลูซาอิล 80,000 กว่ารายที่ได้สัมผัสบรรยากาศจริง

เกมลงเอยด้วยการดวลลูกจุดโทษในแบบที่ฝ่ายใดสามารถคว้าแชมป์ไปครองได้ก็คู่ควรด้วยกันทั้งนั้น และราวกับตอนจบของบทละครที่ถูกเขียนเอาไว้ให้ ลิโอเนล เมสซี กลายเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบ เจ้าตัวเติมเต็มถ้วยรางวัลในตู้โชว์ของเขาเองด้วยโทรฟีแชมป์โลกในวัย 35 ปีกับ เวิลด์คัพ ครั้งสุดท้าย