5 สุดยอดทีมในอดีตที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่พลาดท่าไปไม่ถึงฝั่งฝันใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก - FEATURE

  • ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟุตบอลยุโรป
  • เรอัล มาดริด เป็นสโมสรที่คว้าแชมป์รายการนี้มากที่สุดที่ 15 สมัย
  • 5 สโมสรเหล่านี้เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงในอดีตแต่กลับไม่สามารถสมหวังในทัวนาเมนท์ดังกล่าว
Manager Arsene Wenger, Sylvain Wiltord, and Robert Pires
Manager Arsene Wenger, Sylvain Wiltord, and Robert Pires / Clive Mason/GettyImages
facebooktwitterreddit

หากพูดถึงการแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือ รายการนั้นอย่างแน่นอน และไม่ใช่ว่า ทุกทีมจะมีสิทธิครองครองถ้วยดังกล่าว แม้จะทำผลงานในประเทศได้ยอดเยี่ยมเพียงใดก็ตาม

5 สุดยอดสโมสรเหล่านี้นี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้พวกเขาจะเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบ แข็งแกร่ง และมีความคงเส้นคงวาในช่วงเวลานั้น ๆ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถคว้าชัยชูถ้วย "บิ๊กเอีย" แม้จะเป็นช่วงเวลาพีค ๆ กับอดีตอันแสนหวานของสโสมรได้


5. บาเลนเซีย (ปี 1999-2001)

Barca v Valencia X
Barca v Valencia X / Graham Chadwick/GettyImages

ย้อนไปช่วงเวลานั้นถือเป็นอีกหนึ่งในยุคทองของ บาเลยเซีย เลยก็ว่าได้ หลังจากพวกเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งอย่าง กาอิซก้า เมนดิเอต้า กองกลางกัปตันทีม รวมถึงบรรดาซุเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนตินาอย่าง ปาโบล ไอมาร์, ดาเนียล อยาลา, คิลี่ กอนซาเลซ และ เคลาดิโอ โลเปซ โดยมี เฮคเตอร์ คูเปร์ เป็นเทรนเนอร์  

ในการลงแข่งขันศึกยุโรปในปี 2000 บาเลนเซีย สามารถเอาชนะสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง ลาซิโอ แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา และยังผ่านทีมชั้นนำใน ลา ลีกา ด้วยกัน อย่าง บาร์เซโลน่า  แต่ในนัดชิงฯ พวกเขาปราชัยให้กับ เรอัล มาดริด แบบขาดลอย 0-3

ในปีต่อมา บาเลนเซีย ยังคงทำผลงานน่าทึ่งด้วยการทะลุเข้าไปสู่นัดชิงดำเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน แต่น่าเสียดายทัพ “ไอ้ค้างคาว” ต้องพ่ายการดวลจุดโทษให้กับ บาเยิร์น มิวนิค 4-5 ชวดการคว้าแชมป์ไปครองอย่างน่าเสียดาย

4. แอตเลติโก มาดริด (ปี 2013-2014 และ 2015-2016)

Club Atletico de Madrid v Real Madrid CF - UEFA Champions League Semi Final: Second Leg
Club Atletico de Madrid v Real Madrid CF - UEFA Champions League Semi Final: Second Leg / Etsuo Hara/GettyImages

นับตั้งแต่ ดิเอโก ซิเมโอเน่ ผู้จัดการทีมชาวอาร์เจนไตน์ เข้ามากุมบังเหียน แอตฯ มาดริด ในเดือนธันวาคมปี 2011 นั้น เขาก็เปลี่ยนแปลง “ตราหมี” ไปอย่างสิ้นเชิง และพาสโมสรก้าวสู่ความสำเร็จ รวมถึงกลายเป็นยอดทีมของวงการฟุตบอลยุโรปอย่างเต็มตัว

  ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2014 แอตฯ มาดริด เข้าไปชิงดำกับคู่แค้นตลอดกาลอย่าง มาดริด โดยทีมของ ซิเมโอเน่ ออกนำไปก่อน 1-0 ตั้งแต่ครึ่งแรก แต่ “ราชันชุดขาว” มาตามตีเสมอจาก เซอร์คิโอ รามอส ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บก่อนจะกระหน่ำคืนอีก 3 ลูกในช่วงต่อเวลาพิเศษ พร้อมกับส่ง “ตราหมี” ได้แค่รองแชมป์

อย่างไรก็ตาม อีก 2 ปี ต่อมา แอตฯ มาดริด ยังคงทำผลงานสุดยอด และก็เข้าไปชิงฯกับ มาดริด อีกครั้ง แต่พวกเขาก็ต้องโดน “ราชันชุดขาว” ย้ำแค้นด้วยการเอาชนะดวลจุดโทษแบบหวุดหวิด 4-5

3. ยูเวนตุส (ปี 1996-1998)

FOOT-JUVENTUS-ENTRAINEMENT
FOOT-JUVENTUS-ENTRAINEMENT / PATRICK HERTZOG/GettyImages

ในช่วงกลางยุค 90 ถือเป็นยุคทองของวงการฟุตบอลอิตาลีอย่างแท้จริง โดยมีหลายสโมสรที่โด่งดังมากมาย และมียอดแข้งจากทั่วทุกมุมโลกต่างก็ไปโชว์ฝีเท้าที่นั่น โดย ยูเวนตุส ก็นับหนึ่งในสโมสรมหาอำนาจแห่งแดนมะกะโรนีเลยก็ว่าได้

การแข่งขันฟุตบอลยุโรปในปี 1997 ยูเวนตุส ภายใต้การนำของยอดโค้ชอย่าง มาร์เซลโล่ ลิปปี้ มีสุดยอดขุมกำลังอย่าง คริสเตียน เวียรี่ , ซีเนดีน ซีดาน และ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เข้าไปชิงดำ กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยชื่อชั้นที่เหนือกว่า แต่พวกเขากลับพ่ายให้กับ “เสือเหลือง” แบบสุดเซอร์ไพรส์ 1-3

ปีต่อมา ยูเวนตุส เข้าไปชิงฯ อีกครั้ง และต้องเผชิญหน้ากับโคตรทีมอย่าง มาดริด แต่แล้วพวกเขาก็พ่ายให้กับ พลพรรค “ราชันชุดขาว” ไปอย่างน่าเสียดาย 0-1 จากประตูชัยของ เปแดร็ก มิยาโตวิช ตำนานหัวหอกทีมชาติยูโกสลาเวีย

2. เชลซี (ปี 2004-05)

Sequence 7 of 7 - Liverpool's Luis Garci
Sequence 7 of 7 - Liverpool's Luis Garci / ADRIAN DENNIS/GettyImages

หลังจาก โชเซ่ มูรินโญ่ ยอดเทรนเนอร์ชาวโปรตุกีสเข้ามาคุม เชลซี ในฐานะอดีตแชมป์ยุโรปกับ เอฟซี ปอร์โต้ ต้นสังกัดเก่า นั้น เขาก็สร้างผลกระทบอย่างมหาศาลในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทันที ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก และทำลายสถิติมากมาย 

ในรายการ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ปีดังกล่าว เชลซี ผ่านสโมสรยักษ์ใหญ่มากมายไล่ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มที่มีทีมอย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง, ปอร์โต้ และ ซีเอสเคเอ มอสโกว์ ต่อมาในรอบ 16 ทีมสุดท้ายก็ผ่าน บาร์เซโลน่า ที่มียอดนักเตะอย่าง โรนัลดินโญ่ ได้ และรอบ 8 ทีมก็เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค

อย่างไรก็ตาม ในเกมรอบรองชนะเลิศ เชลซี ต้องเจอกับ ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของโค้ช ราฟาเอล เบนิเตซ และต้องจอดป้ายเพียงรอบนี้หลังโดน หลุยส์ การ์เซีย เพลย์เมคเกอร์ชาวสเปน ซัดประตูปริศนาให้ “หงส์แดง” เอาชนะที่ แอนฟิลด์ ก่อนจะไปสร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์ที่อิสตันบลู

1. อาร์เซน่อล (ปี 2003-04)

Thierry Henry, Patrick Vieira, Arsene Wenger
Arsenal's Thierry Henry (L), captain Pat / MARTYN HAYHOW/GettyImages

ในปีดังกล่าว อาร์เซนอล ภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ตำนานกุนซือชาวฝรั่งเศส มีขุมกำลังอย่าง เธียร์รี่ อองรี, โรแบร์ต ปิแรส, ปาทริค วิเอร่า, กิลแบร์โต้ ซิลวา และ โซล แคมป์เบลล์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยการไม่พบกัวความปราชัยเลยแม้แต่เกมเดียว

อย่างไรก็ตาม ผลงานในเกมยุโรป อาร์เซน่อล เริ่มต้นรอบแบ่งกลุ่มอย่างย่ำแย่ด้วยการเปิดบ้านพ่ายให้กับ อินเตอร์ มิลาน 0-3 แต่หลังจากนั้น พวกเขาเก็บชัย 3 เกมติดต่อกันรวมถึงบุกไปล้างแค้นอัด “งูใหญ่” ถึงบ้าน 5-1 เข้ารอบ 16 ทีมในฐานะแชมป์กลุ่มอย่างน่าประทับใจ

อาร์เซน่อล เอาชนะ เชลต้า บีโก้ ด้วยสกอร์รวม 5-2 ในรอบตัดเชือก และเข้าไปพบกับ เชลซี โดยในเกมเลกแรกพวกเขาบุกไปกุมความได้เปรียบด้วยการเสมอ 1-1 แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ “ไอ้ปืนใหญ่” กลับมาพ่ายคาบ้าน 1-2 และต้องตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปแบบน่าเหลือเชื่อ