8 ชาติแถวหน้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่...ใครเริ่มต้นได้ดีขนาดไหนในรอบคัดเลือก ยูโร 2024 - FEATURE

UEFA EURO 2024 Brand Launch
UEFA EURO 2024 Brand Launch / Alexander Hassenstein/GettyImages
facebooktwitterreddit

บรรยากาศของคิวทีมชาติ รอบคัดเลือก ยูโร 2024 ยังคงคละคลุ้ง และคืนนี้ (อาทิตย์ 26 มีนาคม) หลายๆ ทีมก็จะเข้าสู่เกมที่ 2 กันแล้ว จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะไปสะท้อนภาพของเกมแรกกันหน่อย ว่าบรรดา 8 ชาติแถวหน้าของยุโรป ได้ผลการแข่งขันใน "ยุคใหม่" ของตัวเอง ออกมาอย่างไร ใครเริ่มต้นได้ดีได้แย่ขนาดไหน และวี่แววอนาคตจะเป็นไปในลักษณะใด...


ฝรั่งเศส

รองแชมป์โลกรายล่า ยังคงอยู่ในการทำทีมของ ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ ผู้ซึ่งนั่งเก้าอี้มาตั้งแต่ปี 2012 และมาตรฐานสูงๆ ที่ทำกันมา ก็ยังคงอยู่ในทีมชุดลุยรอบคัดเลือก ยูโร 2024 นี้เช่นเดิม -- ที่แม้ว่าก็จะยังเจอปัญหานักเตะเจ็บหลายรายอยู่ ก็ตาม

ในการเริ่มต้นด้วยการเจอของแข็งสุดอย่าง เนเธอร์แลนด์ แต่แรก กลายเป็นว่า ฝรั่งเศส เจองานง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะ ฉีกสกอร์นำ 3-0 ในยี่สิบนาทีแรก อองตวน กรีซมันน์ น.2, ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ น.8 และกัปตันคนใหม่ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ น.21

เมื่อเริ่มเกมแล้วฉีก 3-0 ฝรั่งเศส ก็เล่นง่ายสบายๆ เลยหลังจากนั้น ก่อนปิดที่ เอ็มบัปเป้ สอยเม็ดสองของตัว น.88 ให้เกมจบ 4-0

ผ่านของแข็งสุดด้วยชัยชนะขาดลอยแบบนี้ ถ้าไม่เตะหลุดกันไปเองในคิวที่เหลือ (กรีซ, ไอร์แลนด์, ยิบรอลตาร์, เยือน เนเธอร์แลนด์) ก็มั่นใจได้เลยว่า ฝรั่งเศส มีการันตีโควต้าลุยรอบสุดท้าย ยูโร 2024 แน่นอน

Kylian Mbappe
France v Netherlands: Group B - UEFA EURO 2024 Qualifying Round / Jean Catuffe/GettyImages

สเปน

แชมป์โลก 1 สมัย เริ่มต้นเส้นทางคัดยูโร 2024 พร้อมความเปลี่ยนแปลงเยอะทีเดียว ตั้งแต่เรื่องขุมกำลังนักเตะไปจนถึงโค้ช โดยเฉพาะอย่างหลังที่เลือกใช้คนในซึ่งค่อนข้างโนเนมอย่าง หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้ (2013 ยู-19 > 2018 ยู-21 > 2021 ยู-23 > 2023 ชุดใหญ่) ขึ้นทำทีม

ทว่าเกมเปิดประเดิมก็ได้ผลสวยหรูเกินคาด ส่วนหนึ่งอาจเพราะ นอร์เวย์ มาโดยไม่มี เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ ที่บาดเจ็บ แต่ส่วนมากก็ต้องให้เครดิตกับ สเปน นั่นเอง ที่ตรึงสกอร์นำ 1-0 (ดานี่ โอลโม่ น.13) ไว้อยู่นาน ก่อนมาบวกอีกสองเม็ดในช่วงท้ายจากหัวหอกวัย 32 ที่ถูกเรียกมาเล่นทีมชาติหนแรก โฆเซลู จากเอสปันญ่อล (อดีตนิวคาสเซิ่ล) ซึ่งซัด 2 ในนาที 84 และ 85

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สเปน ก็ยังมั่นใจได้ไม่มากว่าจะตีตั๋วรอบสุดท้ายแน่ๆ เมื่อก้างขวางคอยังมี จอร์เจีย ของปีกฟอร์มร้อน ควิช่า ควารัตสเคเลีย หรือกระทั่ง นอร์เวย์ เมื่อได้ ฮาแลนด์ กลับมา ก็มีเสียวว่าจะแข็งขึ้นจนเป็นคนละทีมได้เหมือนกัน

Joselu Mato, Yeremy Pino
Spain v Norway: Group A - UEFA EURO 2024 Qualifying Round / Quality Sport Images/GettyImages

อังกฤษ

กำลังจะลงเล่นนัดที่ 2 พบกับ ยูเครน คืนนี้ที่เวมบลีย์ ภายหลังเปิดหัวได้อย่างสุดยอดไปเลย บุกเชือด อิตาลี ถึงที่ เป็นหนแรกนับตั้งแต่ปี 1961 ทีเดียว

ในขุมกำลัง 11 คนแรกที่ออกจะเป็นชุดเดิมๆ (พิคฟอร์ด, แม็กไกวร์, สโตนส์, ไรซ์, เบลลิงแฮม, กรีลิช, ซาก้า, เคน) อังกฤษ ขึ้นนำเร็วในเกมที่นาโปลี เพียงนาที 13 จากการเก็บตกลูกเปิดเตะมุมซัดเข้าไปของ ดีแคลน ไรซ์ กอนที่ช่วงท้ายครึ่งแรกจะมาได้จุดโทษ และ แฮร์รี่ เคน ปิดบัญชีไม่พลาด แม้ครึ่งหลัง มาเตโอ เรเตกี จากตีไข่แตก 1-2 แต่เกมก็จบที่ตรงนั้น

โดยธรรมชาติ อังกฤษ ก็มักไม่พลาดอยู่แล้วกับรอบคัดเลือกทัวร์นาเมนต์ใหญ่ คราวนี้ก็เช่นกัน เมื่อผ่าน อิตาลี แล้ว ทีมอื่น (มาซิโดเนียเหนือ, ยูเครน, มอลต้า) ก็คงผ่านสบายได้ทั้งหมด

Harry Kane
Italy v England: Group C - UEFA EURO 2024 Qualifying Round / Ciancaphoto Studio/GettyImages

อิตาลี

แน่นอนว่าการออกสตาร์ทด้วยการแพ้ อังกฤษ 1-2 คาบ้าน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่สวยสำหรับทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ซึ่งมีแข้งสายเลือดใหม่ ชื่อแซ่ไม่ค่อยคุ้นหูอยู่เต็มไปหมดในทีม (แถงหน้าตาชุดแข่งยังไม่คุ้น เมื่อเปลี่ยนไปใช้อาดิดาสอีก)

เพียงแต่ด้วยขุมกำลังใหม่ (มาเตโอ เรเตกี, วิลเฟรด ยอนโต้, ซานโดร โตนาลี่, อเลสซิโอ โรมันโยลี่ ฯลฯ) ก็แน่อยู่แล้วว่า อิตาลี ต้องใช้เวลาในการปรับแต่งทีมให้เข้ารูปเข้ารอย

และด้วยมาตรฐานของ เซเรีย อา กับชื่อชั้นของคู่แข่งที่รองๆ ลงไป ไม่ว่าจะ มาซิโดเนียเหนือ, ยูเครน หรือ มอลต้า หากว่า อิตาลี ยังจะกล้าๆ พลาดยึดอันดับ 2 เพื่อเข้ารอบไปตาม อังกฤษ แล้วล่ะก็ ไม่แคล้วคงต้องสังคายนากันใหม่ทั้งระบบ

Italy v England - UEFA EURO 2024 Qualifiers
Italy v England - UEFA EURO 2024 Qualifiers / Anadolu Agency/GettyImages

โปรตุเกส

เจองานง่ายสบายตัวกับเกมแรกสุดที่ได้เล่นกับ ลิกเตนสไตน์ ในบ้าน และแม้จะ "ยิงไม่ถึง" ในบางแง่ แต่ก็ถือว่าผ่านสบายกับชัยชนะ 4-0 เจา กันเซโล่, แบร์นาร์โด้ ซิลวา และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซัดสอง

เปิดด้วย ลิกเตนสไตน์ และคืนนี้ได้เจอ ลักเซมเบิร์ก ต่ออีก ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า โปรตุเกส ในยุคสมัยของ โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ จะเริ่มต้นด้วย 6 แต้มเต็มในมือ

เพียงแต่ของแข็งหน่อยก็รอ โปรตุเกส อยู่ในคิวถัดๆ ไป (ช่วง มิ.ย. และปลายปี) กับการเจอ บอสเนียฯ, ไอซ์แลนด์ และ สโลวาเกีย

อย่างไรก็ตาม ถือว่า โปรตุเกส ยังเหนือกว่าคู่แข่งทั้งหมดอยู่ดี รอบคัดเลือกนี่คงไม่ใช่ปัญหา ต้องรอบสุดท้ายนั่นแหละที่จะเป็นคำตอบว่า โปรตุเกส คิดถูกแล้วหรือไม่กับการจิ้มเลือก โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ มานั่งเก้าอี้

Portugal v Liechtenstein: Group J - UEFA EURO 2024 Qualifying Round
Portugal v Liechtenstein: Group J - UEFA EURO 2024 Qualifying Round / Zed Jameson/MB Media/GettyImages

เบลเยียม

หมดสิ้นวาระของ โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ ไป และมีโค้ชอิตาเลี่ยน โดเมนิโก้ เทเดสโก้ (ชาลเก้, สปาร์ตัก มอสโก, แอร์เบ ไลป์ซิก) เข้ามาแทน พร้อมกับเศษซากปรักหักพังของขุมกำลังนักเตะยุคทอง ที่ไม่มีโทรฟี่ใดเข้ามือสักรายการ

น่าจับตาอย่างยิ่งว่าอนาคตถัดจากนี้ เบลเยียม ภายใต้กุนซือมือค่อนข้างใหม่และเป็นตัวเลือกเซอร์ไพรส์อย่าง เทเดสโก้ จะเดินไปทางไหน

อย่างไรก็ตาม เกมประเดิมกับ สวีเดน ก็ได้ผลออกมาแจ่มแจ๋วเกินคาด โรเมลู ลูกากู เช็คบิลแฮตทริกพา เบลเยียม บุกขยี้ทีมไวกิ้งถึงถิ่น 3-0

หลังจากนี้ งานยากสุดคือเหย้าเยือน ออสเตรีย และเปิดบ้านเจอ สวีเดน เท่านั้น

Romelu Lukaku
Sweden v Belgium: Group A - UEFA EURO 2024 Qualifying Round / Michael Campanella/GettyImages

เนเธอร์แลนด์

ทีมใหญ่ที่เริ่มต้นยุคใหม่ได้แย่ที่สุด ก็หนีไม่พ้น เนเธอร์แลนด์ ในมือ โรนัลด์ คูมัน

แม้การเจอ ฝรั่งเศส จะไม่เคยง่าย แต่ก็น้อยคนที่จะคาดคิดว่า อัศวินสีส้มจะแพ้กลับมาขาดลอยถึง 0-4

อันที่จริง ขุมกำลังของ เนเธอร์แลนด์ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากชุดเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย (และแพ้แชมป์โลก อาร์เจนติน่า แค่เพราะดวลจุดโทษ) สักเท่าไร ดังนั้นปัญหาคงอยู่ที่ตัวกุนซืออย่าง คูมัน เท่านั้นเอง

แต่โอกาสแก้ตัวของ เนเธอร์แลนด์ ก็ยังมีอีกเยอะหลังจากนี้ ซึ่งก็ห้ามพลาดอีกแล้วในการเจอกับ กรีซ, ไอร์แลนด์ หรือ ยิบรอลตาร์

Memphis Depay, Dayot Upamecano
France v Netherlands: Group B - UEFA EURO 2024 Qualifying Round / Jean Catuffe/GettyImages

เยอรมนี

ปิดท้ายกับอินทรีเหล็ก เยอรมนี ต้องเจอโปรแกรมแตกต่างไปจากเพื่อน ด้วยการต้องลงเล่นเกม "อุ่นเครื่องกระชับมิตร" ไปตลอด 1-2 ปีหลังจากนี้โดยไม่มีเกมจริงจัง ซึ่งก็เนื่องด้วยการได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพ ยูโร 2024 นั่นเอง

เด็กๆ ของ ฮันซี่ ฟลิค ลงเล่นนัดลับแข้งเกมแรกไปแล้ว และได้ผลน่าพอใจอย่างการทุบชนะ เปรู 2-0 โดยที่ปัญหาซึ่งเคยเป็นอย่างการ "ไร้ดาวยิง" ดูจะซาๆ ลงไปด้วยการขึ้นมาของ นิคลาส ฟุลล์ครุก หอกร่างยักษ์วัย 30 ของ แวร์เดอร์ เบรเมน ซึ่งนัดนี้เหมาซัดคนเดียว 2 ประตู อีกทั้งยังเกือบจะได้เม็ดสาม แต่ ไค ฮาแวร์ตซ์ ดันพลาดจุดโทษไปเสีย

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เกมรุกเริ่มคลี่คลายปัญหา ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า "เกมรับ" จะกลายเป็นปัญหาใหม่ของชาติเจ้าภาพอย่างพวกเขาขึ้นมารึเปล่า กับชื่อเซนเตอร์แบ็กที่ไม่ค่อยจะติดเกรดเท่าไหร่อย่าง ติโล เคห์เรอร์, มัทธีอัส กินเทอร์ หรือ นิโก้ ชล็อตเตอร์เบ็ค ในขณะที่ตัวดีมีดีกรีอย่าง อันโตนิโอ รูดิเกอร์ กลับไม่ถูกเรียกมาติดทีมชุดนี้

แต่ก็คงต้องดูกันยาวๆ ว่าก้าวเดินของ เยอรมนี จะเป็นไปอย่างไร

โดยเฉพาะกับนัดหน้า อังคาร 28 มี.ค. ที่พวกเขาจะต้องอุ่นเครื่องกับทีมแข็งอย่าง เบลเยียม ก็คงได้เห็นภาพชัดขึ้นอีกนิด

ว่าเป้าหมายเถลิงแชมป์ยุโรปในบ้านตัวเอง จะมีความเป็นไปได้สักกี่มากน้อย...

Matthias Ginter, Gianluca Lapadula
Germany v Peru - International Friendly / Fantasista/GettyImages