หายไป 2 สัปดาห์...กลับมาอีกที 5 ลีกใหญ่ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง - FEATURE
หักหัวสู่บรรยากาศของฟุตบอลลีกกันอีกครั้ง เมื่อคิวคัดเลือก ยูโร 2024 และบรรดาเกมกระชับมิตรลับแข้งทั่วโลก สิ้นสุดลงไปอย่างสมบูรณ์แล้ว (และจะกลับมาอีกทีหลังจบซีซั่น กลางเดือนมิถุนายน) แต่การเว้นวรรคพักไป 2 สัปดาห์เต็ม ก็นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างของหลายที่ ที่ก็อาจหลงๆ ลืมๆ ไปได้บ้างถ้าไม่เกาะติดเว็บไซต์ 90min เอาไว้อยู่ตลอด และเพื่อต้อนรับการกลับมา ลองไปดูกันหน่อยว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างกับ 5 ลีกใหญ่ ไฮไลท์ประจำทวีปยุโรป
พรีเมียร์ลีก : สเปอร์ส-พาเลซ กับโค้ชใหม่...หน้าเก่า
เป็นประเด็นใหญ่ที่คงไม่มีใครไม่รับทราบ กับความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งแล้วในเล้าไก่ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม
2014 เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
2019 โชเซ่ มูรินโญ่
2021 ไรอัน เมสัน (รักษาการ)
2021 นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้
2021 อันโตนิโอ คอนเต้
2023 คริสเตียน สเตลลินี่ (ชั่วคราว)
อันโตนิโอ คอนเต้ โดนฉีกสัญญาก่อนกำหนด จากที่เดิมคาดกันไว้อยู่แล้วว่าจะแยกทางหลังจบซีซั่น นั่นก็เพราะการ "เม้งแตก" สวดแหลกใส่ทั้งกับสโมสรและลูกทีม หลังจบเกมที่โดน เซาแธมป์ตัน ตามตีเสมอ 3-3
แต่การเปลี่ยนโค้ชครั้งนี้ก็ยังมาแบบครึ่งๆ กลางๆ แทงกั๊กเอาไว้อยู่ เมื่อไม่ได้เป็นการปลด "ทีมงานของคอนเต้" ออกทั้งยวง เหมือนการปลดกุนซือของที่อื่น โดยยังเก็บแบ็กรูมสตาฟฟ์เอาไว้หลายราย เพื่อช่วยงาน คริสเตียน สเตลลินี่ ที่ได้ขยับจากมือขวาขึ้นมาเป็น "Acting head coach" นั่นเอง
สำหรับ สเตลลินี่ ที่จริงซีซั่นนี้ก็ทำหน้าที่กุนซือ สเปอร์ส มาแล้วหลายนัด ในช่วงที่ คอนเต้ เข้ารับการผ่าตัดจนไม่พร้อมทำงาน ดังนั้นก็ไม่ได้ถือว่าเป็นหน้าใหม่ (และออกจะเซอร์ไพรส์เล็กๆ กับฝ่ายที่มองว่า สเปอร์ส จะคว้า ยูเลี่ยน นาเกิลส์มันน์ มาทำทีมทันที เมื่อเจ้าตัวแยกทางกับ บาเยิร์น มิวนิค แล้วพอดี)
สเตลลินี่ จะเริ่มต้นงานในฐานะ Acting head coach วันจันทร์หน้า ทริปเยือน กูดิสัน พาร์ค ของ เอฟเวอร์ตัน
ส่วนเป้าหมาย ก็แน่นอนว่าคือประคองตัวให้จบในท็อปโฟร์ -- ที่ถ้าหากว่าทำสำเร็จ ก็มีสิทธิ์ได้สัญญาทำทีมถาวรยาวๆ ไป ก็เป็นได้
อีกหนึ่งทีมที่มีการเปลี่ยนตัวกุนซือ ก็คือ คริสตัล พาเลซ อีกหนึ่งตัวแทนลอนดอน ที่กลับไปพึ่งพาบริการของเจ้าคุณปู่ รอย ฮ็อดจ์สัน ให้กลับสู่ตำแหน่งอีกครั้ง
...ในวัย 75 ปี!
ปาทริค วิเอร่า ต้องยุติงานของตัวเองลงด้วยเพราะผลงานที่ พาเลซ เอาชนะใครไม่เป็นเลยทั้งสิ้นหลังขึ้นปีใหม่เป็นต้นมา รวมแล้ว 12 นัด และหลังจากยื่นซองขาวให้ตำนานแข้งฝรั่งเศสได้ไม่กี่วัน พวกเขาก็ต่อสายหา "ลุงครับ...กลับมาที" และได้ข้อสรุปลงเอยอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่การกลับมาของ ฮ็อดจ์สัน ครั้งนี้ ก็ทำสัญญาไว้เพียงระยะสั้นจนถึงจบซีซั่นนี้เท่านั้น นั่นหมายถึงว่า เจ้าคุณปู่รอย จะมาทำหน้าที่แค่ 10 นัดสุดท้ายที่เหลืออยู่
และแม้ว่า พาเลซ จะยังอันดับโอเค ที่ 12 แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาไม่อาจก้าวพลาดเพิ่มเติมได้อีกแล้ว เมื่อช่องห่างของตัวเองกับอันดับ 18 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด บีบแคบที่เพียง "3 แต้ม" เท่านั้นเอง
12. คริสตัล พาเลซ 27 แต้ม
13. วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 27
14. ลีดส์ ยูไนเต็ด 26
15. เอฟเวอร์ตัน 26
16. น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 26
17. เลสเตอร์ ซิตี้ 25
18. เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 24
19. บอร์นมัธ 24
20. เซาแธมป์ตัน 23
ระยะห่าง 3 แต้ม ก็คือ พาเลซ สามารถจมลงโซนแดงได้ง่ายๆ ถ้าแพ้ต่อเนื่องอีกสักนัดสองนัดหลังจากนี้ -- แง่ดีเล็กๆ คือพวกเขาไม่มีคิวต้องเจอบรรดาทีมใหญ่หัวแถวแล้ว (ยกเว้น สเปอร์ส เกมเดียว)
การกลับมาของ ฮ็อดจ์สัน จึงมาพร้อมงานหนักไม่น้อย กับความพยายามต้องรักษาสถานภาพ "ทีมพรีเมียร์ลีก" เอาไว้ให้ได้ อย่างน้อยก็อีกสักปี
บุนเดสลีกา : บาเยิร์น มิวนิค เริ่มยุคใหม่กับ ทูเคิ่ล
เซอร์ไพรส์สุดในบรรดาความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ต้องยกให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับ บาเยิร์น มิวนิค
เพราะอันที่จริง ยูเลี่ยน นาเกิลส์มันน์ ก็ถือว่า "โอเคเลย" กับผลงานที่ทำตลอดมา หลังเข้ารับงานต่อจาก ฮันซี่ ฟลิค ก่อนเริ่มต้นซีซั่น 2021/22
- แชมป์บุนเดสลีกา 2021/22
- มีส่วนช่วยปลุกปั้น จามาล มูเซียล่า จนติดเกรด
- ชนะรวดใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ ทั้งรอบแรก 6 นัด และเหย้าเยือน เปแอสเช รอบ 16 ทีม
- ยังอยู่ในวงโคจรแชมป์บุนเดสลีกา แม้ล่าสุดจะหล่นลงเป็นรองจ่าฝูงก็ตาม
- อยู่ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เดเอฟเบ โพคาล (เตรียมพบ ไฟรบวร์ก)
- อย่าลืมว่า นี่คือ บาเยิร์น ที่ไม่มี โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ อีกแล้ว
แต่ที่สุดแล้ว ความพ่ายแพ้ต่อ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น 1-2 ก่อนเบรคทีมชาติ และการโดน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แซงหน้าขึ้นไป 1 แต้ม (53:52) ก็นำมาซึ่งซองขาวถึง นาเกิลส์มันน์ ในที่สุด
มีการมองกันว่า อันที่จริงแล้ว บาเยิร์น ก็แค่ "ไม่อยากเสียโอกาส" ที่จะคว้ากุนซือมือดีอย่าง โธมัส ทูเคิ่ล ที่กำลังว่างงานอยู่พอดี ให้ตกไปเป็นของใครเสียก่อน จึงเลือกจะปลด นาเกิลส์มันน์ ออกตอนนี้
แม้นั่นจะทำให้พวกเขาต้องจ่ายค่าชดเชย 30 ล้านยูโร (ถ้าไม่จ่ายก้อนเดียว บาเยิร์น ก็ยังต้องจ่ายค่าจ้างรายเดือนให้ จนครบสัญญาในปี 2026 หรือจนกว่า นาเกิลส์มันน์ จะได้งานใหม่) ...ไม่นับรวมที่จ่าย 25 ล้านยูโร ดึงมาจาก แอร์เบ ไลป์ซิก เมื่อสองปีก่อน ก็ตาม
น่าตลกดีว่า งานแรกของอดีตนายใหญ่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อย่าง ทูเคิ่ล บนเก้าอี้เสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค ก็คือการปะทะกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ นั่นเอง (เสาร์นี้ 1 เม.ย.)
ถ้าชนะ จะทวงตำแหน่งจ่าฝูงกลับคืนมา และทำให้ บาเยิร์น ยังอยู่ในจุดที่ดีของการป้องกันแชมป์
แต่หากออกรูปอื่นขึ้นมาล่ะก็...
เอาเป็นว่าถ้ามองในแง่ดีไว้ก่อน ทูเคิ่ล (เซ็นถึง 2025) ก็ยังมีโอกาสพา บาเยิร์น ป้องกันแชมป์ บุนเดสลีกา
และทำเป็นเล่นไป เมื่อทั้ง แชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้ง เดเอฟเบ โพคาล ก็ยังอยู่ในวงโคจร
ใครจะรู้ ทูเคิ่ล อาจทำ "ทริปเปิ้ลแชมป์" มันในปีแรกนี่เลยก็ได้!
ลา ลีกา : การเดิมพันครั้งใหญ่ของ เซบีย่า
อาจดูเงียบๆ หน่อยเมื่อไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของ 2 ยักษ์ใหญ่อย่าง บาร์เซโลน่า หรือ เรอัล มาดริด แต่เป็นของ เซบีย่า ที่เลือกจะไม่ไปต่อกับ ฮอร์เก้ ซามเปาลี แล้วฝากอนาคตไว้กับ โฆเซ่ หลุยส์ เมนดิลิบาร์ แทน (เป็นกุนซือรายที่ 3 แล้วของซีซั่นนี้, คนแรกคือ จูเลน โลเปเตกี)
นี่คือโค้ชประสบการณ์เคี่ยวกรำวัย 62 ที่คลุกคลีกับฟุตบอลสเปนมาหลายสิบปี ตั้งแต่เริ่มงานแรกกับ แอธเลติก บิลเบา ชุดเยาวชน ในปี 1996 หรือจะนับย้อนไปช่วงค้าแข้งยุค 80 ก็ได้
อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงที่ผ่านมา งานของ เมนดิลิบาร์ มักอยู่กับทีมเล็กๆ เช่น บายาโดลิด, โอซาซูน่า, เลบันเต้ หรือล่าสุดกับ เออิบาร์
สำหรับการมาจับงานกับ เซบีย่า ก็เป็นในลักษณะ "แก้ปัญหาเฉพาะหน้า" เท่านั้น ด้วยการทำสัญญาระยะสั้นแค่จนถึงจบฤดูกาล โดยที่งานของเขาไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน แรกสุดคือต้องพาทีม "รอดตาย" หนีตกชั้นให้ได้เป็นผลสำเร็จ จากที่ตอนนี้รั้งอันดับ 14 ด้วยแต้มที่เหนือโซนแดงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น
ขณะที่ใน ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก คงถือเป็นแค่โบนัส ไปต่อก็ดี ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร กับรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ต้องเจอตัวเต็งอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (13/20 เม.ย. เล่นที่อังกฤษก่อน)
เพราะหากมีอันพลาดท่าเสียทีต้องตกชั้นขึ้นมา จะเป็นการหยุดสถิติปักหลักใน ลา ลีกา มายาวนาน 22 ปี ลงทันที และจะส่งผลเสียต่อสภาพการเงินสโมสรอย่างหนักด้วย
กัลโช่ เซเรีย อา : สู้กันสนุก...ที่การแย่งเบอร์ 2
สำหรับลีกสูงสุดแดนมะกะโรนี เรื่องการเปลี่ยนกุนซือซีซั่นนี้ถือว่ามีไม่มากนัก โดยเฉพาะในกลุ่มทีมใหญ่หัวแถว 7-8 ราย ซึ่งปักหลักใช้งานโค้ชคนเก่ามาระยะหนึ่งแล้วทั้งหมด
ดังนั้น โฟกัสย่อมอยู่ที่การทำอันดับในตาราง ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าสู้กันสนุกสุดมันส์เบียดไหล่ชนไหล่กันทีเดียว
...ที่การแย่งอันดับสอง!
เพราะจ่าฝูงและว่าที่แชมป์ นาโปลี ดีกว่าใครเพื่อนแบบเกินเบอร์ ผ่านไป 27 นัดเพิ่งหลุดแพ้แค่ 2 โกยแต้มแล้ว 71 คะแนน เหนือกว่ารองจ่าฝูง ลาซิโอ แบบมองกันไม่เห็น 19 แต้ม
11 เกมที่เหลือ ลงเตะแบบเขย่งก้าวกระโดด หรือส่งชุดเด็กชุดสำรองลงบางนัด นาโปลี ยังนอนมาคว้าสคูเด็ตโต้สบายๆ ได้เลย
แต่เรื่องของอันดับ 2-3-4 ยังไม่แน่ไม่นอนเลยว่าจะตกเป็นของใคร
2. ลาซิโอ 52 แต้ม
3. อินเตอร์ มิลาน 50
4. เอซี มิลาน 48
5. โรม่า 47
6. อตาลันต้า 45
7. ยูเวนตุส 41 (โดนหัก 15 แต้ม)
ก็กลายเป็นว่า ลาซิโอ มาแรงกว่าใครในกลุ่มนี้ เมื่อทีมอินทรีของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ หลุดแพ้เกมเดียวเท่านั้นจาก 11 เกมหลัง และชนะมาถึง 4 จาก 5 เกมหลังสุดทีเดียว
กระนั้น ระหว่าง ลาซิโอ กับทีมอันดับ 5 โรม่า ก็ไม่ได้ห่างกันเกินเอื้อม หรือกระทั่ง ยูเวนตุส ที่โดนหักทิ้งไปแล้ว 15 แต้ม ก็ยังอยู่ในข่ายได้ลุ้นท็อปโฟร์กับเขาอยู่เหมือนกัน จากการตามหลังที่ 4 มิลาน 7 แต้ม และเหลือเกมให้เล่นอีกเยอะ
บทสรุปของ เซเรีย อา จึงต้องดูกันยาวๆ ที่โควตา ชปล.
ส่วนเรื่องแชมป์...จบแล้วอย่างไม่เป็นทางการ
ลีก เอิง : ปารีสฯ โอกาสสูง แต่ก็ห้ามประมาท
ปิดท้ายที่ลีกน้ำหอม ซึ่งเข้ามาสู่ 10 เกมสุดท้ายของซีซั่น ก็ต้องบอกว่า ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แยกย้ายครับ...แอ่แฮ่!
ความเปลี่ยนแปลงหลักๆ ในช่วงคิวทีมชาติงวดนี้ ไม่มี จะมีก็ล่าสุดเมื่อต้นเดือน บ๊วย อองเช่ร์ ได้กุนซือใหม่ อเล็กซองดร์ ดูชูซ์ แต่โอกาสรอดตายก็ริบหรี่ก็ตามเคย
สิ่งที่คนมองมากที่สุดก็คือเรื่องแชมป์ ซึ่งปีนี้ วี่แววก็ไม่รอดพ้นเงื้อมมือเบอร์ 1 ปารีส แซงต์-แชร์กแมง อีกเช่นเคย
นาทีนี้ที่ผ่านไปแล้ว 28 เกม เปแอสเช นำโด่งที่จ่าฝูงด้วยการมี 66 แต้ม นำหน้าเบอร์ 2 โอลิมปิก มาร์กเซย (59) อยู่ 7 แต้ม และนำเบอร์ 3 ล็องส์ (57) 9 คะแนน
ระยะห่าง 7 แต้ม ไม่ได้มากมายนัก ซึ่งก็เพราะ คริสตอฟ กัลติเยร์ พา เปแอสเช หลุดแพ้แล้วถึง 4 เกม นั่นเอง (ในขณะที่ ล็องส์ เพิ่งแพ้แค่ 3)
สิ่งที่ทำให้ เปแอสเช ยังไม่อาจประมาทได้ ก็เพราะความพ่ายแพ้ 4 นัดนั้น เกิดขึ้นในช่วงหลังจาก "ขึ้นปีใหม่" 2023 มาแล้วล้วนๆ ล่าสุดก็คือก่อนเบรคทีมชาตินี่เองที่กล้าๆ แพ้ แรนส์ (อันดับ 5) คาบ้าน 0-2
ดังนั้น กับโปรแกรมที่เหลืออยู่ 10 เกมสุดท้าย แม้ว่าโดยธรรมชาติ เปแอสเช จะเหนือกว่าทุกทีมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีการันตีเหมือนกันว่าจะชนะได้ทั้งหมด เช่นเกมกับ โอลิมปิก ลียง, นีซ, ล็องส์, ลอริยองต์ หรือ โอแซร์
การเข้าสู่ 2 เดือนสุดท้าย ด้วยการแพ้ไปแล้ว 4 นัด และนำอยู่แค่ 7 แต้ม นำมาซึ่งความซีเรียสอย่างที่ไม่อาจเลี่ยงได้
ทุกนัด ทุกแต้ม ล้วนแต่จะมีผลต่อฉากจบ ว่า เปแอสเช จะป้องกันแชมป์สำเร็จหรือไม่อย่างไร