คาราบาว คัพ กับ อาร์เซนอล โอกาสสำคัญสำหรับคนไม่สำคัญ - FEATURE
- อาร์เซนอล ไม่เคยคว้าแชมป์ลีก คัพ ได้เลยเป็นเวลานานถึง 30 ปีแล้ว
- ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาคว้าแชมป์รายการนี้คือปี 1993
คาราบาว คัพ หรือ ลีก คัพ เดินทางมาถึงรอบที่ 4 หรือในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกันแล้ว ผู้ชนะในเกมนี้ต้องการอีกเพียง 3 เกม เพื่อก้าวไปสู่การเป็นแชมป์ที่จะมาพร้อมกับสิทธิ์ในการเล่น ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ในฤดูกาล 2024-2025
“น่าตื่นเต้นหรือไม่” คำตอบคือถ้าคุณเชียร์ทีมใหญ่การได้แชมป์รายการนี้ถือว่ามีค่า ส่วนโควต้าที่ได้รับรางวัลมันไม่น่าสนใจ เพราะเป้าหมายคือการไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สู้กันอย่างหนักในการลงเล่นในพรีเมียร์ ลีก ดังนั้น รายการนี้จึงมักถูกวางให้เป็นรายการสำหรับตัวสำรองสำหรับหลายสโมสร กับการชิงชัยในรายการที่มีเพียง 92 สโมสรเท่านั้นรวมกันชิงชัยหาความเป็นหนึ่ง
อาร์เซนอล เป็นสโมสรแรกที่ทำแบบนี้ เริ่มต้นจากในยุคของ อาร์แซน เวนเกอร์ ในช่วงฤดูกาล 1997-1998 เขาเริ่มจัดทีมแบบชุดผสมตั้งแต่รอบสามที่เป็นรอบแรกสำหรับสโมสรในพรีเมียร์ ลีก ก่อนที่จะเติมความแข็งแกร่งของทีมไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสิ้นสุดเส้นทางในแต่ละฤดูกาล
ปีแรก ๆ ที่เริ่มทำทีมแบบนี้ก็โดนวิจารณ์หนักพอสมควร แต่เมื่อนานไปหลายสโมสรก็เริ่มทำตาม เพราะด้วยจำนวนเกมการแข่งขันที่แน่นมากในแต่ละปี ลีก คัพ ก็จึงกลายเป็นรายการที่มีความสำคัญน้อยที่สุดสำหรับหลายสโมสร โดยเฉพาะเมื่อต้องลงเล่นในฟุตบอลยุโรป
“มันเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการชนะอะไรสักอย่างหนึ่ง เรามาที่นี่เพื่อการคว้าแชมป์ แต่มันขึ้นอยู่ที่ว่าอะไรที่เรียกกันว่าถ้วยแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก?, พรีเมียร์ ลีก? หรือว่า ลีก คัพ ? ถ้าคุณชนะลีก คัพ คุณไม่สามารถบอกได้หรอกว่าคุณได้แชมป์ นั่นคือความคิดของผม” เวนเกอร์เคยกล่าวเอาไว้ในปี 2010 ซึ่งแน่นอนว่า “ทัวร์ลง” อย่างหนักกับสิ่งที่เขาพูดออกมา
ตลอดเส้นทางอาชีพของเวนเกอร์ 22 ปี กับอาร์เซนอล เขาพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศครบทุกรายการที่อาร์เซนอล สามารถเข้าถึงได้ทั้ง แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า คัพ (ยูโรป้า ลีก), เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ แต่มีเพียงเอฟเอ คัพ เท่านั้น ที่เขาคว้าแชมป์ กลับออกมาได้แถมได้มาถึง 7 สมัย มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของผู้จัดการทีมในเกาะอังกฤษ นอกนั้นอกหักรักคุดทุกรอบ โดยเฉพาะ ลีก คัพ ที่เข้าชิงชนะเลิศ 3 ครั้ง และก็พลาดแชมป์ทั้งสามรอบ ซึ่งแต่ละรอบที่พ่ายแพ้ ก็มีประเด็นให้พูดถึงไม่ว่าจะเป็น
2007: ที่เขาให้โอกาสนักเตะสำรองของทีมที่เล่นกันมาจนถึงรอบชิงชนะเลิศได้ลงสนามที่เวมบลีย์ ก่อนจะแพ้ เชลซี 2-1 ในเกมที่ ธีโอ วัลคอตต์ ยิงประตูแรกในสีเสื้อปืนใหญ่ ท่ามกลางเสียงชื่นชม ปนเสียงไม่เห็นด้วยกับการจัดทีมในครั้งนั้น
2011: ความผิดพลาดของ วอยเช็ค เชสนี่ และ โลรองต์ กอสเซียลนี่ ในช่วงนาทีสุดท้ายที่กลายเป็นตราบาปของทั้งสองคนบนความพ่ายแพ้ต่อ เบอร์มิงแฮม ด้วยสกอร์ 2-1 เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ได้แชมป์อย่างยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายพวกเขากลับตกชั้นในปีนั้น
2018: กับการจัดทัพใหญ่พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และจบลงด้วยความพ่ายแพ้แบบหมดรูปที่สุดครั้งหนึ่งของอาร์แซน เวนเกอร์ เป็นการจบเส้นทางอาชีพของเขากับอาร์เซนอล ด้วยความผิดหวัง
อาร์เซนอล ไม่เคยได้แชมป์ ลีก คัพ มานานถึง 30 ปีเต็ม ในขณะที่เส้นทางของ ลีก คัพ ก็วนเวียนเปลี่ยนชื่อผู้สนับสนุนมาหลายต่อหลายรอบ และค่อย ๆ กลายเป็นรายการที่ชี้วัด ศักยภาพในเชิงลึกของกลุ่มนักเตะของแต่ละทีม (Squad Depth) ของแต่ละทีมว่ามีศักยภาพมากน้อยแค่ไหน
นับจากปี 2013 เป็นต้นมา สวอนซี ซิตี้ เป็นทีมเดียวที่อยู่ในกลุ่มทีมหัวตารางที่ได้แชมป์รายการนี้ ที่เหลือทั้งหมดคือกลุ่มทีมลุ้นแชมป์ด้วยกันทั้งสิ้น บางปีก็เจอกับทีมที่อ่อนชั้นกว่า บางปีก็เป็นทีมลุ้นแชมป์ปะทะกันเองโดยตรง
แต่กว่าจะถึงรอบชิงชนะเลิศ หลายสโมสรก็เลือกหมุนเวียนนักเตะ เป็นการให้โอกาสผู้เล่นทั้งดาวรุ่ง และตัวสำรองลงเล่นกัน หากชนะเข้ารอบต่อไป โอกาสของกลุ่มคนเหล่านั้นก็ได้ไปต่อ แต่ถ้าไม่รอด “โอกาส” ก็ลดน้อยไปอีกหนึ่งรายการ
อาร์เซนอล ในยุคของ มิเคล อาร์เตต้า เป็นหนึ่งในทีมที่เลือกบริหารจัดการทีมในแบบเดียวกัน พวกเขาจะเลือกใช้งานชุดผสมลงเล่นไปในรายการนี้ นับจากการเข้ามาคุมทีมของ มิเคล อาร์เตต้า ทีมลงเล่นในรายการนี้จบลงดังนี้
2020-2021: แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกรอบ 8 ทีม
2021-2022: แพ้ ลิเวอร์พูล ตกรอบรองชนะเลิศ
2022-2023: แพ้ ไบร์ทตัน ตกรอบ 3
*2019-2020 ทีมตกรอบก่อนที่ มิเคล อาร์เตต้า จะเข้ามารับงานคุมทีม
ขณะที่ในฤดูกาลนี้ ก็จัดทัพแบบเดียวกัน เข้ารอบ 4 มาได้ ด้วยการเอาชนะ เบรนท์ฟอร์ด 1-0 และรอลุ้นเข้ารอบต่อไปที่จะลงเล่นกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ก็พร้อมจัดทีมชุดผสมลงเช่นเดียวกัน เมื่อพวกเขาเองก็มีภารกิจ ยูโรป้า ลีก รออยู่กลางสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม มิเคล อาร์เตต้า ย้ำบ่อยครั้งมากว่าในแง่ของการจัดทีมนั้น เป้าหมายอันดับหนึ่งที่ปรับแนวคิดของผู้เล่นทุกคนในทีมคือ “ลงเล่นเพื่อชนะ” ไม่ว่าเกมจะยากแค่ไหน ต้องเริ่มจากความคิดก่อนว่า ลงเล่นเพื่อสามคะแนน หรือเพื่อการเข้ารอบ ถ้ามัวแต่คิดว่านี่คือทีมสำรอง แพ้ก็ได้ไม่เป็นไร มันก็เพิ่มโอกาสแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงแข่งแล้ว ขณะที่ในแง่ของการจัดทีม หน้าที่ของผู้จัดการทีมคือการพาทีมผ่านเข้ารอบต่อไป บนมุมมองที่มีปัจจัยในเรื่องของ สภาพผู้เล่น, ตารางการแข่งขัน และแน่นอนความสำคัญของรายการแข่งขันที่ลงเล่น ทั้งหมดถูกนำมาขยำรวมกันกลายเป็นหนึ่งทีมที่ลงเล่นในแต่ละเกม เขาอาจพูดเสมอว่า มองกันแบบเกมต่อเกม แต่ในแง่ของการทำงานแล้วมันต้องมองไปอีกหลายเกมที่รออยู่ด้วยในเวลาเดียวกัน หากคุณต้องการประสบความสำเร็จ เรื่องของจิตใจก็สำคัญ คุณภาพบุคลากรสำคัญไม่น้อยกว่ากัน
อาร์เซนอล มีนักเตะมากพอจะสามารถจัดทีมลงเล่นได้แบบไม่มีปัญหาอะไร แต่สิ่งที่ อาร์เตต้า จำเป็นต้องทำคือการ “ให้โอกาส” กับคนที่เขามองว่าสมควรได้รับโอกาส เมื่อเกมที่กำลังจะมาถึงไม่ใช่เกมสำคัญที่สุด นักเตะที่เวลาลงเล่นน้อยมาตลอด ก็ควรได้รับรางวัลตอบแทนการทำงานของพวกเขาเช่นกัน ตัวสำรอง ซ้อมต่างกับ ตัวจริง หรือไม่ คำตอบคือไม่ต่างกัน แต่ในวันแข่ง มีเพียง 11 คนเท่านั้น ที่ได้รับโอกาสอยู่ในสนาม
การให้โอกาส ก็เปรียบเหมือนการพูดที่ไม่มีเสียง การกระทำที่ชัดเจนกว่าคำพูดที่ว่า คุณอยู่ในสายตาของโค้ชอยู่หรือไม่ สถานะบางอย่างไม่ต้องพูดก็รู้ได้ อาร์เซนอล และหลายสโมสรอาจพูดสวยหรูว่า ทุกคนต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งตัวจริง แต่ในความจริงแล้วการทำงานมันก็มีลำดับขั้นในใจของโค้ชเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่า ลำดับเหล่านั้น มันเป็นสิ่งไม่ตายตัว คุณสามารถที่จะเลื่อนขั้นหรือลดขั้นได้ตลอดเวลา เพราะคนที่เลือกทีมลงเล่น ตัดสินใจสุดท้ายก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน อารอน แรมสเดล คงทราบเรื่องนี้ดีกว่าใคร เพราะวันนี้เขาคือคนที่ “ตกสวรรค์” อย่างแท้จริงในฤดูกาลนี้ และต้องทำทุกทางเพื่อไต่กลับขึ้นมา เอาชนะใจมนุษย์คนหนึ่งที่ชื่อว่า “โค้ช” ให้ได้อีกครั้ง และรายการแข่งขันนี้คือโอกาสสำคัญอย่างยิ่ง
แมตต์ เทอร์เนอร์ นายทวารที่ออกจากทีมไปแล้วเป็นอีกคนที่เข้าใจเป็นอย่างดี เมื่อเขาเคยถูก คาร์ล ไฮน์ นายทวารมือสาม แย่งโอกาสในการลงเล่นตัวจริงในเกมคาราบาว คัพ ปีที่แล้ว อันเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เขาพยายามฮึดสู้กลับมาแม้จะจบลงด้วยการเล่นเพียง 7 เกมในทุกรายการ แต่ก็ไม่เคยเสียโอกาสให้ใครอีกนอกจาก อารอน แรมสเดล ที่เป็นมือหนึ่งในปีที่แล้ว
ลีก คัพ หรือ คาราบาว คัพ อาจเป็นรายการที่ไม่สำคัญเท่าไรนักสำหรับแฟนบอลทั่วไป แต่สำหรับเหล่าตัวสำรองในแต่ละสโมสรแล้ว นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะได้ลงสนาม พิสูจน์ตัวเองว่ายังคงมีคุณค่าในทีมนี้หรือไม่ ถ้าเข้ารอบโอกาสตรงนี้ยังจะมีต่อไป และหากทำได้ดีโอกาสจะแทรกขึ้นตัวจริงมันก็ยังพอเป็นไปได้มากกว่าจะมารอลงซ้อมทุกวันด้วยกัน เพื่อจะจบที่ว่าสุดสัปดาห์นี้จะได้ลงเล่นหรือเปล่า หรืออาจจะต้องนั่งก้นด้านกันตลอด 90 นาที แบบที่เคยเป็นมาในพรีเมียร์ ลีก
หากมนุษย์เราอยู่ได้ด้วยความหวัง คาราบาว คัพ ก็เป็นหมือน “ความหวัง” สำหรับพวกเขาอย่างแท้จริงเช่นกัน