เชลซี 4-0 เปรสตัน : ประเด็นจากเกม เอฟเอ คัพ นัด สิงห์น้ำเงิน เข้าฝักครึ่งหลัง ได้ลุ้นทำ 'ดับเบิ้ลแชมป์' - FEATURE
• 3 ลูกในระยะ 10 นาที ก่อนปิดด้วย 4-0 ช่วงท้ายเกม ทำให้ เชลซี ชนะขาดลอย ผ่านเข้ารอบ 4 เอฟเอ คัพ
• ทั้งเรียกความมั่นใจได้เยอะก่อนตัดเชือก คาราบาว คัพ และถือว่ามีโอกาสลุ้นทำดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยด้วย
รายการ: ฟุตบอล เอฟเอ คัพ 2023/24 รอบ 3
วันแข่งขัน: วันเสาร์ที่ 6 มกราคม 2567
สนาม: สแตมฟอร์ด บริดจ์
ผลการแข่งขัน: เชลซี 4-0 เปรสตัน นอร์ธเอนด์
สิงห์น้ำเงินกับ เอฟเอ คัพ
อาจเป็นทีมระดับแถวหน้า เมื่อว่ากันถึงถ้วยนี้ กับการที่ เชลซี ได้แชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองมากถึง 8 สมัย เป็นรองก็แค่ แมนฯ ยูไนเต็ด (12) และ อาร์เซน่อล (14) เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงแฝงคือ เชลซี ได้แชมป์ เอฟเอ คัพ หนล่าสุดเมื่อปี 2018 หรือ 5 ปีมาแล้ว และนั่นยังเป็นแชมป์เดียว (เฉพาะรายการนี้) ในระยะกว่า 10 ปีหลังสุดของ เชลซี ด้วย
ที่เจ็บปวดคือ การเข้าชิง 5 หนหลังสุด เชลซี แพ้ไปถึง 4 รอบ
- 2017 แพ้ อาร์เซน่อล 1-2
2018 ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0
2020 แพ้ อาร์เซน่อล 1-2
2021 แพ้ เลสเตอร์ 0-1
2022 แพ้จุดโทษ ลิเวอร์พูล
เพราะฉะนั้นจึงควรนับว่า เอฟเอ คัพ คือรายการที่ เชลซี ขีดเส้นใต้ไว้เป็นเป้าหมายอยู่แล้วในทุกปี ไม่ใช่ลงเตะอย่างทิ้งขว้าง แม้ศักดิ์และศรีของ เอฟเอ คัพ ทุกวันนี้ จะเสื่อมคล้อยลงไปมากแล้วก็ตาม
นั่นก็จะเอา นี่ก็จะเอา
แม้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะปัญหา "ตัวเจ็บเยอะ" ที่ยังตามกัดกิน เชลซี อยู่เหมือนเคย (ยังเพิ่มมาด้วยในราย นิโคลัส แจ๊คสัน ที่ไปรับใช้ชาติ) ที่ทำให้ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ไม่ได้มีทางเลือกในทีมของเขาเยอะนัก
แต่ด้วยการที่ เชลซี มีเกมสำคัญมากอย่างรอบตัดเชือก คาราบาว คัพ นัดแรก กับทาง มิดเดิ้ลสโบรช์ รออยู่ในวันอังคาร (และเกมนี้เจอทีมลีกรองอย่าง เปรสตัน) ก็ทำให้หลายๆ ฝ่ายเชื่อว่า โปเช็ตติโน่ จะเปิดที่ทางให้ตัวสำรองได้ลงเล่นเยอะหน่อย
แต่ไม่... สิ่งที่กุนซืออาร์เจนไตน์ทำ แสดงให้เห็นชัดว่าเขา "เน้น" ในทั้งสองถ้วย
11 ตัวจริงในวันนี้ เปลี่ยนจากเกมก่อนๆ แค่ 2-3 ตำแหน่ง เช่น อัลฟี่ กิลคริสต์ ลงมายืนแบ็กขวา, ลีวาย โคลวิลล์ หุบเข้าตรงกลางเพื่อพัก ติอาโก้ ซิลวา หรือ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ แทนที่ คอนเนอร์ กัลลาเกอร์
และ 11 ตัวจริงในวันอังคารหน้า ก็เชื่อว่าคงจะเปลี่ยนจากวันนี้แค่ 1-2 จุดเท่านั้นเองเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ควรถือว่า โปเช็ตติโน่ ทำถูกแล้วที่เลือกทางนี้ เมื่ออย่างน้อย เขายังมีแรงส่งจากการที่ซีซั่นนี้ "ไม่มีเกมยุโรป" ให้ต้องเหนื่อย ฉะนั้น ปีนี้ก็ใส่สุดกับบอลถ้วยในประเทศไป แล้วปีหน้าค่อยมาปรับกลยุทธ์กันใหม่อีกที
ครึ่งแรก เช่นเคยว่า 'จบไม่ลง'
แรกสุดคือ แม้ว่า เชลซี จะออกทรงสะเงาะสะแงะอยู่ตลอดทาง พรีเมียร์ลีก แต่อย่างน้อย พวกเขาก็คือ "ทีมพรีเมียร์ลีก" ผิดกับ เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ที่เป็นทีม "ลีกรอง" ของแท้แม่ให้มา ด้วยไม่เคยขึ้นสูดอากาศลีกสูงสุดเลยมากว่า 60 ปีแล้ว
และถัดมาก็คือ เปรสตัน ยัง "ทรงแย่" ด้วยในช่วงหลัง ที่แพ้ 4 จาก 5 เกมหลังสุดใน อีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพ จนอันดับคล้อยลงครึ่งล่าง รั้งที่ 14 ตอนนี้
เมื่อสองอย่างมาบวกรวมกัน แถมเหยาะพริกไทยไปอีกนิดด้วยว่า นี่คือเกมใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็ทำให้ เชลซี เดินเกมเหนือกว่า เปรสตัน ตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียอย่างเดียว--ที่เป็นมาตลอด ก็คือความ "ไม่คม" ซึ่งส่งผลให้โอกาสจบของ เชลซี ที่มีพอสมควร 3-4 หนในครึ่งแรก ไม่อาจเปลี่ยนเป็นสกอร์ได้ และทำให้แฟนๆ ทีมเยือนเปรสตัน แอบหวังว่าจะมี "คดีพลิก" ในครึ่งหลัง
ครึ่งหลัง ได้เร็ว และไหลมาเทมา
แต่ความหวังของแฟนๆ ทีมเยือนก็ถูกตอกตะปูปิดสนิทเสียแต่เนิ่นๆ เมื่อรูปเกมเป็นไปในลักษณะเดิม คือ เชลซี คุมบอลไว้เบ็ดเสร็จ และบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่องแบบพับสนาม
สิ่งที่แตกต่างไปจาก 45 นาทีแรกก็คือประตู 1-0 มา และมาโดยไม่ต้องรอนานนัก น.58 มาโล กุสโต้ ครอสแม่นๆ ให้ อาร์มันโด้ โบรย่า สะบัดโขกเช็ดเข้าไปตุงตาข่ายอย่างยอดเยี่ยม
ยิ่งกว่านั้น น.66 สกอร์ก็ขึ้น 2-0 จากเตะมุม โคล พาลเมอร์ สาดไปที่่จุดนัดพบให้ ติอาโก้ ซิลวา ย่องมาโขกเปรี้ยง จมตาข่าย
ต่อเนื่องด้วย 3-0 น.69 ฟรีคิกที่ห่างเขตโทษมาแค่ก้าวเดียว ราฮีม สเตอร์ลิ่ง (ที่ยิงนกตกปลามาตลอดจากฟรีคิกลักษณะนี้) ปั่นข้ามกำแพงส่งลูกฮุคเข้าประตูอย่างสวยงาม
ปิดท้าย ทิ้งระยะมาที่ น.85 สเตอร์ลิ่ง ลุยเข้าไปเคาะลูกถึงเสาสองให้ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ จับลงแล้วแปนิ่มๆ เข้าไป แม้ทีแรกผู้ตัดสินจะเป่าล้ำหน้า แต่เมื่อเช็ค VAR กันอยู่นานก็ได้ข้อสรุปว่าไม่ล้ำ ปิดเกมไปที่ 4-0
เกมรุกสิงห์ จับต้องได้
นี่คือชัยชนะที่สวยงามในท้ายที่สุดของ เชลซี
และแม้อาจยังมีแผลจางๆ อย่างการ "ใช้โอกาสเปลือง" ให้เห็นอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ โปเช็ตติโน่ สามารถ "คุยได้" โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับทีมใหญ่บางทีมที่เกมรุกทื่อมะลื่อไม่เอาไหน จะเห็นว่า หมากแต่ละตัวของ เชลซี มีผลงานจับต้องได้แทบทั้งสิ้น
- นิโคลัส แจ๊คสัน - 8 ประตู
อาร์มันโด้ โบรย่า - 2 ประตู
โคล พาลเมอร์ - 8 ประตู
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง - 7 ประตู
โนนี่ มาดูเอเก้ - 3 ประตู
มิไคโล มูดริค - 4 ประตู
เอ็นโซ เฟร์นานเดซ - 4 ประตู
และขนาดว่า คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู เจ็บหนักพักยาวมาครึ่งปี ก็ยังมีแล้ว 1 ประตูให้เห็น
ดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วย...???
โปเช็ตติโน่ บอกไว้ตั้งแต่วันก่อนแล้วว่า เขาต้องการแชมป์ทั้ง 2 รายการของซีซั่นนี้ ทั้ง คาราบาว คัพ ที่มาถึงตัดเชือกแล้ว และ เอฟเอ คัพ ที่ได้เริ่มต้นงานกับทีมจากลีกรอง
แน่นอนว่าถ้วยเล็กสุด เหลือแค่เอื้อมเท่านั้น และดูเหนือกว่าคู่ตัดอย่าง มิดเดิ้ลสโบรช์ เยอะ ส่วนถ้วย เอฟเอ คัพ ก็ผ่าน เปรสตัน ได้อย่างสวยงามในวันนี้
แต่ก็อีกนั่นแหละ การจะบอกว่า เชลซี มีลุ้นทำ "ดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วย" ในปีนี้--ซีซั่นแรกของ โปเช็ตติโน่ ทันที...
ก็อาจเร็วเกินไปหน่อย
เมื่อชัดเจนว่าการโรมรันใน เอฟเอ คัพ ยังอีกยาวไกล และยังไม่รู้เลยว่า เชลซี จะได้ทีมไหนเป็นคู่แข่งในรอบหน้า หรือแต่ละรอบ เป็นใครแบบไหนอย่างไร
เอาเป็นว่า ก็ค่อยๆ ดูกันไปทีละนัด ทีละรอบ
สำคัญสุดตอนนี้คือ ถ้วยเล็กสุดอย่าง คาราบาว คัพ ที่ถ้าไปถึงเส้นชัยได้จริงๆ แล้ว ก็ค่อยมาว่ากันเรื่อง ดับเบิ้ลแชมป์ เป็นลำดับถัดไป