บนถนนที่ยังไม่เห็นปลายทางของ “เดเล่ อัลลี่” - FEATURE

เดเล่ อัลลี่ กองกลางดีกรีทีมชาติอังกฤษของ เอฟเวอร์ตัน ยังคงอยู่ในเส้นทางที่ยังคงไม่รู้ว่าจะเห็นปลายทางได้เมื่อไร หลังจากที่เข้าสู่การครบ 1 ปีแล้วที่เขาลงเล่นเกมล่าสุดในวงการฟุตบอลอาชีพของตัวเอง และกำลังจะหมดสัญญากับสโมสรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

กองกลางวัย 27 ปี มีช่วงเวลาที่ยากลำบากมาตลอดนับจากช่วงท้ายของการเล่นให้กับสเปอร์ส และย้ายมาร่วมงานกับ เอฟเวอร์ตัน ในเดือนมกราคม 2022 เขาเพิ่งผ่านการลงเล่นกับ เอฟเวอร์ตัน เพียง 13 เกมเท่านั้น ก่อนโดนส่งตัวไปเล่นกับ เบซิคตัส ในฤดูกาลที่แล้ว ที่ก็มีปัญหากับทีมและฟอร์มตกอย่างหนัก มาถึงฤดูกาลนี้ เขาไม่มีส่วนร่วมกับเกมแม้แต่นาทีเดียวในฤดูกาลนี้กับทอฟฟี่สีน้ำเงิน

จากเด็กหนุ่มอนาคตไกลที่ก้าวไปถึงการลงเล่นกับทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ในฐานะตัวหลักของสเปอร์สมาหลายปี มาถึงวันนี้ อัลลี่ กำลังค่อย ๆ หายไปจากสารบบฟุตบอลอาชีพ เมื่อเขากำลังจะใกล้ครบ 1 ฤดูกาลเต็มที่ไม่ได้ลงเล่นเลย ด้วยสารพันปัญหาที่เกิดขึ้นกับเขาที่ต้องบอกว่าทั้งเกิดขึ้นจากตัวของเขาเอง และสังคมรอบด้าน แต่จะมีเพียงตัวเขาเองเป็นสำคัญในการก้าวข้าม และแก้ไขเรื่องราวเหล่านี้

เอฟเวอร์ตัน ได้ตัว อัลลี่ มาแบบไม่มีค่าตัวจากสเปอร์ส โดยมีเงื่อนไขที่ว่า เอฟเวอร์ตัน จะต้องจ่ายเงินจำนวน 10 ล้านปอนด์ ให้กับสเปอร์สในกรณีที่ส่ง อัลลี่ ลงเล่นครบ 20 เกม ซึ่งปัจจุบันแทบมองไม่เห็นโอกาสนั้นเลยที่ อัลลี่ จะได้ลงเล่นครบตามเงื่อนไขดังกล่าว ขณะที่ สเปอร์ส พยายามต่อรองลงมาด้วยการลดข้อเสนอเหลือเพียง 8 ล้านปอนด์ กับการจ่ายเงินทันทีโดยไม่ต้องรอครบ 20 เกม อย่างไรก็ตามด้วยสัญญาของ อัลลี่ ที่กำลังจะหมดลงในเดือนมิถุนายนนี้ และมีโอกาสจะไม่ได้ลงเล่นกับทีมอีกแล้ว รวมถึงจะไม่มีการขยายสัญญาใหม่อีกด้วย และนั่นทำให้การจ่ายเงินไม่เกินตามข้อตกลงในเงื่อนไขสัญญา

“ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีเลยในเรื่องของการเงิน หลังจากที่พวกเขาถูกตัดไปแล้ว 10 คะแนนจากปัญหาเรื่องการเงิน และยังคงมีปัญหาเรื่องเดียวกันที่พรีเมียร์ ลีก ยังคงจริงจังในความเข้มงวดกับการจัดการเรื่องของการเงินของทุกสโมสร ท่ามกลางการดิ้นรนของเอฟเวอร์ตันในการเอาตัวให้รอดในลีกสูงสุด ที่พวกเขาอาจจะต้องไปลุ้นการรอดตายหรือไม่กันจนถึงช่วงสุดท้ายของฤดูกาลแบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ฤดูกาลติดต่อกัน

อย่างไรก็ตามเอฟเวอร์ตัน และ สเปอร์ส ก็เคยซื้อขายกันมาไม่น้อย ย้อนกลับไปฤดูกาลที่แล้ว สเปอร์ส ได้ตัว ริชาร์ลิซอน จากเอฟเวอร์ตันมาด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์ ซึ่งแรกเริ่มเอฟเวอร์ตันต้องการเงินมากกว่านั้น แต่ด้วยเรื่องของการเงินที่ไม่คล่องตัวทำให้พวกเขาตัดสินใจรับข้อเสนอดังกล่าว ขณะที่ อัลลี่ ตอนนี้ก็ยังคงเรียกความฟิตจากการผ่าตัดขาหนีบ และก่อนหน้านี้เขาออกมายอมรับว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสภาพจิตใจ มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ และซึมเศร้า จนต้องเข้ารับการบำบัด ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากเอฟเวอร์ตันมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ผ่านไปแล้ว 7 เดือน อัลลี่ก็ยังคงรอคอยการลงเล่นเกมแรกของฤดูกาลนี้ต่อไป

“เรากำลังรอคอยว่าเมื่อไรเขาจะกลับมา เขาเดินทางในเส้นทางที่ยาวไกล และเราตกลงในการให้เวลา และพื้นที่กับเขาในการกลับมาสู่ทีม หวังว่าเขาจะกลับมา ส่วนจะกลับมาได้เมื่อไร เราเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เราให้ความเป็นส่วนตัวกับเขาตามที่เขาร้องขอ ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาเมื่อไม่นานมานี้ มันเป็นการสนทนาที่ดี เขาเจอกับอาการบาดเจ็บอีกครั้ง แต่ผมก็เชื่อว่าเขาจะผ่านมันไปได้ ผมเชื่อมั่นแบบนั้น” ฌอน ไดซ์ นายใหญ่ของเอฟเวอร์ตัน กล่าว

นักฟุตบอลอาชีพ ก็ไม่ต่างจากพนักงานหนึ่งคนในองค์กร ความรับผิดชอบที่มีต่อตนเอง และหน้าที่การงานเป็นสิ่งที่สำคัญเสมอ เพียงแต่ นักฟุตบอลอาชีพ เป็นหนึ่งในอาชีพที่มาพร้อมกับชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักจากผู้คนเป็นจำนวนมาก ภาระของการเป็น “ตัวอย่างที่ดี” และแบกรับ “ความคาดหวัง” มากมายที่ใครที่เราไม่รู้จักแต่เขารู้จักเราโยนใส่ไว้บนบ่า บางคนอาจจะสามารถยอมรับและจัดการได้ บางคนอาจจะทำได้ไม่ดีนัก และหลายคนล้มเหลวในอาชีพเพราะส่วนหนึ่งก็มาจากความกดดันที่มารอบทิศทางเช่นนี้ก็มีให้เห็นมาแล้วนักต่อนัก และมันส่งผลร้ายแรงต่อสภาพจิตใจแบบที่ อัลลี่ กำลังเผชิญกับมันแบบไม่ใช่ตัวคนเดียว อย่างน้อยก็ยังมีสโมสรเอฟเวอร์ตัน และคนรอบข้างอีกไม่น้อยที่เชื่อได้ว่า อยากเห็นเรื่องราวแห่งความสุขเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง

อัลลี่ อาจจะเดินเส้นทางผิดในการไม่มุ่งมั่นมากพอในการเล่นฟุตบอลอาชีพ เหมือนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เคยกล่าวกับเขาเอาไว้ในช่วงที่ทำงานด้วยกันที่สเปอร์สว่า สำหรับเขาแล้ว อัลลี่ เป็นนักเตะที่มีศักยภาพในการเล่นฟุตบอลที่ดีมาก แต่กลับไม่สามารถมองหาถึงความสม่ำเสมอได้เลย และนั่นทำให้เขาไม่สามารถก้าวไปสู่การเป็นนักเตะระดับชั้นนำของวงการฟุตบอล

แต่ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นมันเกิดขึ้นแล้ว “กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” สิ่งที่อัลลี่ทำได้ในความเห็นของผู้เขียนก็คือทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมัน ส่วนคำตอบจะเป็นอย่างไร มันก็คือสิทธิ์ของตัวเขาเอง 100 % ไม่มีใครสามารถตัดสินเขาได้ว่ามันถูกหรือว่าผิด เขาแค่เลือกแบบที่ต้องเลือกเท่านั้น

ด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปี เส้นทางของเขายังคงอีกไกลมากในการใช้ชีวิตที่เหลือ แต่มันก็ไม่ได้มากมายอีกแล้วหากยังคงเลือกจะไปต่อกับการเป็น “นักฟุตบอลอาชีพ” แต่ก็ยังไม่สายเกินไป ขออวยพรให้เขามีสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้นได้ในเร็ววันนี้