ค่ำคืนที่ลิสบอน: น่าเสียดายแต่ไม่เสียหายสำหรับ อาร์เซนอล - FEATURE
ผลเสมอ 2-2 ที่สนาม เอสตาดิโอ โฆเซ่ อัลวาเรท บ้านของสปอร์ติ้ง ลิสบอน ทำให้สถานการณ์ของรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูโรป้า ลีก ของอาร์เซนอล ยังคงเปิดกว้างในวันที่พวกเขาเลือกจะหมุนเวียนทีมแบบจริงจังเป็นครั้งแรกในรอบหลายเกม
ยูโรป้า ลีก ภารกิจฟุตบอลถ้วยรายการสุดท้ายในฤดูกาลนี้ ถูกตั้งคำถามว่าอาร์เซนอลจะ “เอา”หรือ “ไม่เอา” ในช่วงโค้งสามเดือนสุดท้ายที่ตนเองมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีกแบบเต็มตัว การจัดตัวผู้เล่นที่ออกมาสรุปได้ว่า พวกเขายังคงให้ความสำคัญแม้จะไม่ที่สุดก็ตาม
ก่อนเกมจะเริ่มต้นขึ้น อาร์เซนอล เจอบทเรียนยากบทใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับทีมของมิเคล อาร์เตต้า เมื่อวันนี้เป็นเกมที่สองแล้วที่พวกเขาไม่มี “หน้าเป้า” ธรรมชาติอยู่ในทีม และเราได้เห็นนักเตะอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ลงเล่นในตำแหน่งนี้เป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ในแบบออกสตาร์ทตัวจริง
กาเบรียล เฆซุส - เอ็ดดี้ เอนเคเธีย – เลอันโดร ทรอตซาร์ 2 กองหน้าธรรมชาติ 1 ตัวรุกที่เล่นกองหน้าได้บ้าง ทั้งหมดไม่มีชื่อในทีมเกมนี้ด้วยปัญหาบาดเจ็บ และยังไม่พร้อมกับการลงเล่น โดยเฉพาะหัวหอกบราซิลที่แฟนบอลรอคอยการคัมแบ็คหลังหายหน้าโดยวันนี้ครบ 3 เดือนเต็มแล้วที่ เฆซุส เข้ารับการผ่าตัดหัวเข่าและวันนี้เขาลงซ้อมเต็มรูปแบบได้แล้ว เหลือแค่ว่าเมื่อไรเท่านั้นที่จะกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง
การปรับทีมแบบครึ่งทีมจากเกมพรีเมียร์ ลีก เห็นชัดเจนว่าทีมต้องการไปต่อกับรายการนี้ การเลือกนักเตะ 11 ตัวจริงจึงออกมาแบบ “ไม่เสี่ยง” กับดาวรุ่ง แต่เสี่ยงให้โอกาสนักเตะสำรองหลายคนลงสนาม
แมตต์ เทอร์เนอร์, ยาคุบ คิวิออร์, ฟาบิโอ วิเอร่า, รีส เนลสัน รวมถึง จอร์จินโญ่ ลงสนามาเป็นตัวจริงในเกมนี้ วางระบบ 4-3-3 ที่สามารถปรับมาเน 3-2-4-1 ได้ตามจังหวะเกมรุก ขณะที่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน มาแบบเต็มสูบ พวกเขาอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงกับการอดไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ปีหน้าพอสมควร ถ้าไม่แชมป์ยูโรป้า ลีก เพราะในลีกพวกเขาอันดับ 4 ตามหลังพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ถึง 7 คะแนน
การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดการเสียสมดุล
อาร์เซนอล เป็นเหมือนกับหลายสโมสรที่พวกเขามี 11 ตัวจริงที่แข็งแกร่ง อาจจะพูดได้ว่าตัว 12-14 ก็คาดหวังได้ไม่น้อย แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทีม 11 คนแรกลงสนามไป ความสม่ำเสมอในการเล่นมักจะหายไปเกมนี้ ในทุกพื้นที่มีการนำ “คนใหม่” เข้ามาแทรกในทีม โดยเฉพาะ คิวิออร์ ที่ลงสนามเป็นเกมแรกกับทีม แม้จะเลือก วิลเลี่ยม ซาลิบา เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ก็ยังขาดความเข้าใจกันและกันค่อนข้างมาก ส่วน แมตต์ เทอร์เนอร์ การที่เขายังไม่ได้เล่นในพรีเมียร์ ลีก แม้แต่เกมเดียว และต้องมาลงเล่นเฉพาะบอลถ้วย จังหวะเกมอะไรต่าง ๆ มีปัญหาเช่นกัน เขาเป็นนายทวารสาย Shot-Stopper ที่ดีคนหนึ่ง แต่หากมองถึงการมีส่วนร่วมกับเกม และการสื่อสารกับกองหลัง ยังเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย เพลย์ที่ออกบอลพลาดแล้วกระเทือนถึงโอกาสเสียประตู 1-2 ครั้งในเกมนี้ ชัดเจนว่าเขายังมีเรื่องปรับปรุงอีกเยอะ
สิ่งดีที่เห็นได้จากเกมนี้คือเหล่าตัวรุกด้านบน ฟาบิโอ วิเอร่า, รีส เนลสัน หรือ จอร์จินโญ่ ใช้เวลาไม่นานนักในการเป็นเนื้อเดียวกับตัวหลัก วิเอร่า ได้โอกาสมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนลสัน เพิ่งได้กำลังใจมาเต็มเปี่ยมจากเกมที่แล้ว ส่วน จอร์จินโญ่ ลูกประสบการณ์แน่นมากในระดับสูง เขากลายเป็นตัวหลักของทีมได้สบาย
แต่ฟุตบอลอาร์เซนอล เล่นกันเป็นทีม การเซตบอลจากด้านหลังเป็นจุดเริ่มต้น ทุกการกระทำของนักเตะ หมายถึงความช้าเร็วของเกม หากคุณมีกองหลังเซตบอลช้า หรือเข้าใจการเล่นเพื่อนรอบตัวไม่แม่น ความผิดพลาดก็ย่อมเกิด แนวหลังวันนึ้ จึงเป็นเป้าที่โดนพูดถึงมากที่สุด เพราะเกมรุกพวกเขาฝากบอลมาไม่ต่อเนื่อง เสียบอลง่าย ส่วนการเล่นเกมรับ วันนี้โดนสับเละเพราะทั้งสองประตู พวกเขาเสียง่ายเกินไป ในมุมของแฟนบอลมองเห็นแบบนั้น มิเคล อาร์เตต้า ก็ถึงกับเอ่ยปากว่าจังหวะที่เสียไปมันเป็นจังหวะพื้น ๆ ที่ไม่น่ามีอะไรก็ยังเสียประตูได้ อย่างในประตูแรกที่อาร์เตต้าค่อนข้างไม่พอใจกับแนวรับของทีมตนเอง การเปลี่ยนตัว ยาคุบ คิวิออร์ ที่มีส่วนเต็ม ๆ กับการเสียประตูแรก และส่งกาเบรียลงมาเป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจน
“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นอะไรที่รับมือยากมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที แต่สิ่งที่มันแน่ชัดมากคือในพื้นที่ตรงนั้น มันไม่ควรมีใครได้ขึ้นโหม่งอย่างสบายไร้ตัวประกบ เราเสียประตูไปแบบนั้น และมันเป็นการเสียประตูที่ง่ายเกินไป” อาร์เตต้ากล่าว
ตามที่ผู้เขียนเคยกล่าวถึงหลายครั้งแล้วว่า นักเตะ ทุกคนจำเป็นต้องลงซ้อมทำความเข้าใจเกมของคนรอบตัวให้มากที่สุดเพื่อการทำงานร่วมกัน ฟังก์ชันที่ชื่อว่า “ทีมเวิร์ค” เกิดจากทุกส่วนประกอบกัน มองเป็นรถคันหนึ่ง เบรคมีไว้หยุด คันเร่งมีไว้ทำให้รถไปข้างหน้า ถังน้ำมันให้พลังงาน ฟังก์ชั่นเหล่านี้ไม่ต้องรู้ว่าฟังก์ชั่นอื่นทำงานยังไง แต่เมื่อรวมกันพวกมันมีหน้าที่สำคัญในการทำให้รถเคลื่อนไหว หรือหยุดเคลื่อนไหว การเล่นฟุตบอลก็เช่นกัน นักเตะทุกคนต้องรู้หน้าที่ของตนเอง และรู้ถึงคนรอบตัวเอง เป็นสำคัญ มาวันนี้เกมรับที่มีฟันเฟืองหน้าใหม่ และที่ไม่ค่อยได้ลงเล่นบ่อย ๆ ลงสนามไป การทำงานก็ไม่ราบรื่นนัก ตรงนี้ขึ้นกับการซ้อม ทำความเข้าใจกัน
นักฟุตบอลคือมนุษย์คนหนึ่ง สอนได้ เรียนรู้ได้ แต่เขียนโปรแกรมยัดใส่สมองไม่ได้ ดังนั้นความผิดพลาด และการให้เวลาต้องมีเป็นเรื่องปกติ และนี่คือความเสี่ยงที่ อาร์เซนอล เลือกด้วยเหตุผลทั้งอยากพักผู้เล่น ทั้งอยากให้โอกาสตัวสำรอง ในเวลาเดียวกัน ผลงานก็ไปว่ากันหลังจบ 90 นาที
“เล่นได้แต่เล่นไม่เป็น”
วันนี้อาร์เซนอลไม่มีกองหน้าธรรมชาติ และสุดท้ายแผนการที่จะเอามาร์ติเนลลี่ มาเล่นหน้าเป้า ก็ได้ใช้งานจริง ๆ ซึ่งมองจากการซื้อขายในตลาดเดือนมกราคม 2023 ช่วงที่ กาเบรียล เฆซุส เพิ่งบาดเจ็บทีมถูกแฟนบอลกล่าวถึงการเสริมกองหน้าคนใหม่ ที่สุดท้ายทีมแทบไม่มีข่าวกับกองหน้าแบบจริงจังเลยสักคน แต่ทีมเลือกจะใช้บริการตัวรุกคล่อง ๆ ตัวมาทดแทน ทั้งกับ มิไฮโล มูดริก ที่สุดท้ายหลุดมือไปจนกลายมาเป็น เลอันโดร ทรอตซาร์ ที่ตอนนี้ก็ต้องพักจากอาการบาดเจ็บ เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าทีมมองฟังก์ชั่นการเล่นมากกว่าตำแหน่งการเล่น
มาร์ติเนลลี่ กล่าวเองว่าเขาเล่นกองหน้า “ได้” ตั้งแต่สมัยเล่นในบราซิล แต่ “ชอบ” เล่นตัวด้านข้างมากกว่า เกมก่อนหน้านี้เลยมีการสลับตำแหน่งไปมากับ ทรอตซาร์ ที่ขยับกันไปมาตลอด สุดท้ายมาเกมนี้ไม่มีทางเลือกมากนัก มาร์ติเนลลี่ จึงค่อนข้างหายไปบางช่วง มาเป็นพัก ๆ และเขาลงเล่นในตำแหน่งกองหน้า คล้าย ๆ กับที่ อเล็กซองเดร ลากาแซตต์ เล่นกับทีมในปีก่อน กับการลงมาล้วงบอลตั้งแต่แดนกลาง และเชื่อมเกมให้ตัวด้านข้างไปทำหน้าที่ต่อ ส่วนตัวเอง รอเข้าทำในกรอบเขตโทษ ซึ่งอ่านถึงตรงนี้มันก็ยอดเยี่ยมดี แต่ในความจริงแล้ว “กาบิ” ไม่ได้เด่นเรื่องของการเป็น Post Player เลย เขาเก็บบอลไม่ได้ในกรอบ กลางอากาศก็ไม่ได้เด่น สิ่งที่ทำได้ดีคือ ความเร็วคล่องตัว ที่พอมีจังหวะสวนกลับก็จะค่อนข้างเข้าทางเขามาก จังหวะกระชากครึ่งสนามและสุดท้ายไม่ได้ยิง เป็นจังหวะที่เห็นเลยว่า กาบิ เด่นในเรื่องนี้แค่ไหน แต่พอช่วงท้ายเกมมีการปรับตำแหน่งอีกรอบช่วงท้าย ฟาบิโอ วิเอร่า ถูกดันไปเล่นกองหน้าเป้าตามตำแหน่งการยืน ที่นี้หายไปเลย เพราะ “เล่นได้ แต่เล่นไม่เป็น”
สวนทางกับในตำแหน่ง กองหลังตัวกลางอย่างแบ็คซ้าย ที่ทุกวันนี้ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ทำงานเป็น Invert Fullback มันทุกเกม กลายเป็นคนออกบอลตรงกลางเป็นหลัก เมื่อวันที่ไม่มี ปาร์เตย์ อยู่ในสนาม เขากลายเป็นคนแจกจ่ายบอล โดยมี จอร์จินโญ่ เป็นลูกหาบคอยช่วยสกรีน เปิดช่องว่างให้เขาออกบอล อย่างที่หลายคนทราบกัน ซินเชนโก้ เป็นกองกลางมาก่อนเป็นแบ็ค ดังนั้นเขาถูกสอนการทำงานตรงนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เซนส์บอลตรงนี้จึงทำได้ดี อย่างไรก็ตาม Invert Fullback ไม่ใช่เรื่องใหม่ของทัพปืนใหญ่ นักเตะฟูลแบ็คทุกคน โดนสอนแบบนี้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นฤดูกาล คีแรน เทียร์นีย์ ถ้าวันนี้ไม่ป่วยก็ต้องลงเล่นแบบนี้ โทมิยาสุ ลงมาบางช่วงก็เล่นเป็นแบ็คธรรมชาติ เติมเกมบุกในแบบแบ็คทั่วไป และหลายจังหวะเมื่อทีมปรับมาเล่น Invert เขาก็สามารถเล่นได้ด้วย ตรงนี้มาจากการสอน ส่วนใครจะซึมซับและปรับตัวได้ดีกว่ากัน ก็เป็นอีกเรื่อง เหมือนเรียนทำอาหารจากร้านเดียวกัน สูตรเหมือนกัน แต่ทำไมอร่อยไม่เท่ากัน นั่นคือเรื่องของ “ฝีมือ” แต่ตอนนี้ทีมจะเล่นแบบนี้ นักเตะมีหน้าที่ในการปรับตัวให้เข้ากับระบบ ใครทำได้ดีที่สุดคนนั้นได้ไปต่อ
ดังนั้นจากทั้งสองส่วนทั้งการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นที่ทำให้สมดุลไม่เหมือนเดิม และการปรับตำแหน่งของนักเตะบางส่วน ทำให้สถานการณ์ของอาร์เซนอล ไม่แน่นอนทั้งเกมรับที่ไม่นิ่ง เสียบอลง่าย เมื่อเสียง่ายสมาธิก็ย่อมเสีย ความมั่นใจไม่มั่นคง จนกลายเป็นเสียประตู ส่วนเกมรุกเมื่อได้บอล แต่จบสกอร์ไม่ได้ เปิดโอกาสให้ทีมไม่ได้ก็ยากที่จะให้เกมนี้เป็นไปอย่างที่หวัง
อาร์เซนอลในเกมนี้ตลอด 90 นาที พวกเขาเล่นในแบบที่พวกเขาถูกสอนมา แนวคิดการเล่นหลักทุกคนรับทราบเข้าใจส่วนจะทำได้หรือไม่ได้ เป็นอีกเรื่อง ทีมขึงเกมรุกได้เยอะมาก มีจังหวะที่ดีหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายปัญหาในพื้นที่จบสกอร์ดันเกิดปัญหา เพราะความไม่เข้าใจกัน และแน่นอน อันโตนิโอ อาดาน นายด่านทีมเยือน และแนวรับของพวกเขาก็เล่นกันได้ดีปีกของอาร์เซนอลทั้งสองฝั่งวันนี้ เงียบไปพอสมควร โดยเฉพาะ ซาก้า ที่วันนี้นับเป็นวันที่เขาไม่เด่นวันหนึ่งในรอบหลายสัปดาห์
สองประตูของอาร์เซนอลในวันนี้เกิดจากหนึ่งเซตเพลย์ นึ่งจังหวะยิงหน้าเขตโทษที่มีดวงได้ประตู แต่ถ้ามองถึงการเข้าทำแบบที่อาร์เซนอลชอบทำกับการไปสุดเส้นหักเข้ากลางมาจบสกอร์ วันนี้ทีมทำได้ไม่ดีนัก ขณะที่เกมรับเสียจากเซตเพลย์หนึ่งประตูที่ผิดพลาดในการปล่อยให้โดนโหม่งโล่ง ๆ และประตูที่สองโดนย้อนทางในสิ่งที่ชอบทำกับคู่แข่ง กับการเจอตัดจากด้านข้างแล้วยิงแม้จะเซฟได้จังหวะแรก แต่จังหวะสองก็ยังปล่อยให้เกิดดาบสองได้อีก วันนี้จึงไม่ใช่วันที่ดีเลยสำหรับแนวรับเพราะพวกเขาพลาดทีไร งานเข้าทุกทีเพราะคู่แข่งใช้โอกาสได้มีลุ้นมาก
“ความเหนื่อยล้าของร่างกายและกำลังสำรอง”
อาร์เตต้า มักชอบพูดว่าอาการล้า อาการบาดเจ็บ หรือกระทั่งการเปลี่ยนแปลงทีมไม่ใช่ “ข้อแก้ตัว” เมื่อผลการแข่งขันไม่เป็นดังใจ แต่ในบางครั้งเขาก็มักจะมีการแนบประโยคทำนอง อย่างเช่นเกมนี้ “เราขาดกองหน้านะ แต่มันไม่ใช่ข้อแก้ตัว” แต่ตรงนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาเห็นถึงปัญหา และมันส่งผลจริงที่เขาและทีมงานต้องตามล้างตามเช็ดปัญหานี้ต่อไป จะเอาอย่างไร
นักเตะหลายคนในทีมถูกใช้งานอย่างหนักมาตลอดฤดูกาลนี้ บูคาโย่ ซาก้า, เบน ไวท์, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ รวมถึงคู่เซนเตอร์ตัวหลัก ทุกคนลงเล่นตัวจริงแทบทุกเกม บางคนตัวจริงทุกเกม บางคนมีจังหวะพักบ้าง แต่ก็มักจะโดนส่งลงมาในครึ่งหลัง หรือ 15-20 นาที ว่ากันไปตามวาระโอกาส และสถานการณ์ที่เป็นไป
อ้างอิงจากสัมภาษณ์ของผู้จัดการทีมชาวสเปนก็ให้เหตุผลว่า เขาต้องการให้ผู้เล่นในกลุ่มแรกทั้งในตัวจริงตัวสำรอง มีโอกาสก่อน และเหมาะสมกับการได้รับโอกาส แต่ในทางกลับกันทีมชุดนี้ก็จะต้องลงเล่นต่อเนื่องเพื่อรักษาโมเมนตัมของชัยชนะเอาไว้ให้ได้ต่อไป ในขณะที่ตัวสำรองบางคนก็กลายเป็นสำรองก้นด้านไปยาว ๆ อย่างเช่น ร็อบ โฮลดิ้ง หรือ คีแรน เทียร์นีย์ ซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด ส่วนดาวรุ่ง ถ้าไม่นับ เจ้าหนู เอนวาเนรี่ ที่ลงมาทำสถิติอายุน้อยที่สุดในพรีเมียร์ ลีก 1 นาทีกว่า ๆ ในสนามของเขาเกมนั้น ที่เหลือก็แทบจะไม่มีดาวรุ่งได้เปลี่ยนลงสนามเลย นั่นหมายความว่า อาร์เซนอล ใช้ผู้เล่นประมาณ 20 คนเท่านั้นในการลงเล่นที่เหลือคือ ยังดีไม่พอจะได้รับโอกาส และอาการล้าของนักเตะจึงเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองว่า อาร์เซนอล ในช่วงที่เหลือจะดูแลประคองร่างกาย และจิตใจของนักเตะอย่างไร เพื่อไปให้ถึงวันสุดท้ายในแบบความสำเร็จยังคงมีให้ลุ้นกัน เช่นเดียวกับการกลับมาในอีกไม่ช้านี้ของ กาเบรียล เฆซุส จะส่งผลมากแค่ไหน เพราะในช่วงเวลาที่มีเขาในสนาม ขวัญกำลังใจของทีมดีกว่าไม่มีเขาอย่างแน่นอน เพราะแม้จะยิงประตูไม่ได้ แต่ก็สร้างโอกาสให้คนอื่นได้ทุกเกม ก่อนที่จะบาดเจ็บไปในแบบที่ทุกครั้งที่ เอนเคเธีย ลงเล่นแล้วผลงานไม่ดี หรือทีมยิงประตูไม่ได้ คำว่า “ถ้ามีเฆซุส” เป็นสิ่งที่ยังคงนึกถึงกันเป็นเรื่องแรก ๆ นี่คือคุณค่าของเขาในความรู้สึกของแฟนบอล และความสำคัญต่อทีมชุดนี้
ท้ายที่สุดแล้ว ผลเสมอ 2-2 ในเกมนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรสำหรับปืนใหญ่ แม้จะไม่มีกฎ Away Goal อีกแล้ว แต่การไม่แพ้ในรูปเกมที่เหนือกว่าก็น่าจะทำให้ทีมไม่เสียโมเมนตัมในการลุยกันต่อไป และการได้กลับมาเล่นในบ้านสัปดาห์หน้าทีมก็ยังจะมีความมั่นใจเต็มที่ว่าพวกเขาจะดีพอเช็คบิลในบ้านได้แน่ ในขณะที่เกมลดไปอีกเกม และมีนักเตะบางคนพอจะได้พักอยู่บ้างเพื่อเก็บออมพลังไปเล่นเกมต่อไป
อาร์เซนอลชุดนี้มีคุณสมบัติมากพอจะเป็นแชมป์ในฤดูกาลนี้ แต่ไม่ใช่พวกเขาทีมเดียวที่มีคุณสมบัติที่ว่า ขึ้นอยู่กับว่าการจัดการทีมจะทำได้ดีแค่ไหนในการรักษาโมเมนตัม แรงกระตุ้น และร่างกายของเหล่าคนสำคัญในทีมให้อยู่รอดปลอดภัยจนถึงวันสิ้นฤดูกาล
วันที่จะได้รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้อีกไม่นานก็คงได้ทราบคำตอบ แต่ในวันที่ “ดีที่สุด” อาจไม่ใช่คำตอบ แต่ “ผลลัพธ์” ของเกมการแข่งขันที่ต้องการต่างหากที่พวกเขาต้องการ