จากขุนพลถึง "แฟนบอล" กับภารกิจสุดท้ายในการสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกของ ทีมชาติอังกฤษ - FEATURE
- แกเร็ธ เซาธ์เกต พาทีมชาติอังกฤษ ผ่านเข้ารอบชิงฯ ยูโร 2024
- เป้าหมายคือคว้าแชมป์ ยูโร สมัยแรกให้ได้
- พวกเขาอกหักใน ยูโร 2020 กับการพ่ายการดวลจุดโทษต่อ อิตาลี
โดย Navapun Munarsa
แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ กล่าวว่า ตนเอง และพลพรรค “สิงโตคำราม” ได้มอบมอบค่ำคืนที่ดีที่สุดในรอบ 50 ปีให้กับแฟนบอลเลือดผู้ดีทุกคน หลังจากเอาชนะ เนเธอร์แลนด์ส ด้วยสกอร์ 2-1 ในศึก ยูโร 2024 รอบรองชนะเลิศ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ชัยชนะดังกล่าวยังทำให้ อังกฤษ ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในรายการนี้เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งทีมของ เซาธ์เกต ก็มีลุ้นที่จะสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ ยูโร สมัยแรกมาครองหากเอาชนะคู่แข่งอย่าง สเปน ในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้
เซาธ์เกต กล่าวหลังจบเกมว่า “ผมรับงานเพื่อพยายามพัฒนาฟุตบอลอังกฤษ และตอนนี้เราอยู่ในรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่สองแล้ว และผมเชื่อว่าเราได้มอบค่ำคืนที่น่าตื่นเต้นให้แฟนบอลตามที่พวกเขาคาดหวัง”
“เรามอบค่ำคืนที่ดีที่สุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมาให้กับพวกเขา ผมภูมิใจอย่างยิ่งกับสิ่งนั้น ผมดีใจมากถ้าทุกคนที่บ้านรู้สึกแบบที่เราเป็นวันนี้ แต่งานของเรายังไม่จบ เรามีบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมารออยู่ เราต้องตรียมตัว เรามาที่นี่เพื่อชัยชนะ และนั่นยังคงเป็นเป้าหมายของเรา”
เส้นทางการมาถึงรอบชิงฯของ อังกฤษ ไม่ได้ราบรื่นนัก พวกเขาชนะเกมเดียว และเสมอ 2 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม ส่วนรอบ 16 ทีมสุดท้ายเอาชนะ สโลวาเกีย ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อนจะเอาชนะจุดโทษ สวิตเซอร์แลนด์ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และเฉือน เนเธอร์แลนด์ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งหลัง
เซาธ์เกต กล่าวต่อว่า “เราทุกคนต้องการได้รับการยอมรับใช่ไหม เมื่อคุณกำลังทำอะไรบางอย่างเพื่อประเทศของคุณ คุณเป็นคนอังกฤษและคุณภาคภูมิใจกับมัน แน่นอนคุณคงไม่รู้สึกว่าอยากมองย้อนกลับไป เพราะก่อนหน้านี้สิ่งที่คุณเจอมีแต่คำวิจารณ์ด้านลบ และมันยากที่จะทำเหมือนไม่สนใจมัน”
“การได้ฉลองในการเข้าชิงชนะเลิศครั้งที่สองนั้นพิเศษมาก ถ้าผมไม่ได้อยู่ในสนาม ผมคงเฉลิมฉลองเหมือนแฟนบอลคนอื่น ๆ แต่ผมเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบทีม ดังนั้นการได้มอบค่ำคืนที่ดีกับแฟน ๆ มันพิเศษมาก เรามาที่นี่เพื่อชัยชนะ และแน่นอนเราต้องการเล่นกับทีมที่เก่งที่สุดในทัวร์นาเมนต์ (รอบชิงชนะเลิศ) เพราะเราเองยังอยู่ที่นี่และพร้อมสำหรับภารกิจสุดท้ายที่รอเราอยู่”
ขณะที่ จู๊ด เบลลิงแฮม จอมทัพ เรอัล มาดริด ตั้งเป้าหมายว่า จะพยายามที่จะเป็นทีมชาติอังกฤษชุดแรกนับตั้งแต่ปี 1966 ที่คว้าถ้วยรางวัลใหญ่ และขอสู้อย่างเต็มที่ในเกมนัดชิงฯ ที่จะต้องเจอกับ สเปน
ดาวเตะวัย 21 ปี กล่าวว่า “ผมภูมิใจในตัวเพื่อนร่วมทีมทุก ๆ คนในเรื่องปฏิกิริยา ทัศนคติ และสภาพจิตใจ ส่วนคุณภาพก็เรื่องหนึ่ง แต่คุณลักษณะเหล่านั้นคุณไม่สามารถเรียนรู้ได้ในการฝึกซ้อม คุณได้รับมันจากประสบการณ์”
“ตอนนี้มันเป็นอีกเกมหนึ่งที่ผ่านไปแล้ว เราเหนื่อยมาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นฤดูกาลที่ยาวนาน แต่นี่เป็นแรงผลักดันครั้งสุดท้ายสำหรับประเทศของเรา และประวัติศาสตร์ชาติ”
ด้าน ค็อบบี ไมนู กองกลางดาวรุ่งจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวว่า “มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ เราทุกคนต่างก็ตื่นเต้น มันเป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ และเราได้สร้างผลงานที่ดี ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับเราแล้ว และถึงเวลาที่จะสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเอง”
แม้จะโดนวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดเส้นทางตั้งแต่นรอบแบ่งกลุ่มมาจนถึงนัดชิงฯ แต่ เซาธ์เกต และลูกทีมก็แสดงให้เห็นว่า พวกเขาขอตั้งใจทำผลงานในสนามให้ดีที่สุด ซึ่งก็ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการเหลืออีกเพียงก้าวเดียวที่จะสร้างประวัติศาสตร์ให้กับ ทัพสิงโตคำราม กับแชมป์ยุโรปสมัยแรกเสียที...