[FEATURE] ตื่นจากการหลับไหล ! โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ยักษ์หลับผู้เตรียมกลับมาชิงบัลลังก์ในศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก
แม้จะพลาดท่าบุกไปแพ้ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งศึกลาลีกา สเปน 0-2 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดสุดท้าย กลุ่ม บี เมื่อคืนวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่ "สิงห์หนุ่ม" โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ยักษ์หลับแห่งศึกบุนเดสลีกา เยอรมนี ยังคงเข้าป้ายรองแชมป์กลุ่มได้สิทธิ์ตบเท้าเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบหวุดหวิด เพราะมีสถิติ "เฮด-ทู-เฮด" เหนือกว่า ชักตาร์ โดเน็คสก์ แชมป์ยูเครนที่มี 8 คะแนนเท่ากันในหลังจากแข่งครบทั้ง 6 เกม โดยเคยเป็นฝ่ายเอาชนะได้ทั้ง 2 เกมเหย้า-เยือนที่พบกันไปแบบท่วมท้น เริ่มจากเกมแรกที่เจอกันแล้วบุกไปไล่ถล่มได้ถึง 6-0 ส่วนอีกเกมกลับมาเปิดบ้านไล่ยำได้ถึง 4-0
ทำให้ มึนเช่นกลัดบัค ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่เปลี่ยนชื่อมาจาก ยูโรเปี้ยน คัพ เมื่อปี 1992 โดยก่อนหน้านี้ "สิงห์หนุ่ม" เคยผ่านเข้ามาเล่นรอบแบ่งกลุ่มเพียงแค่ 2 ครั้ง แต่ไม่เคยผ่านเข้าไปถึงรอบลึกๆ เลย เริ่มจากในฤดูกาล 2015/2016 อยู่ร่วมสายเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เซบีญา, ยูเวนตุส และจบด้วยตำแหน่งบ๊วยอันดับ 4 ส่วนในฤดูกาล 2016/2017 อยู่ร่วมสายเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, บาร์เซโลน่า และ กลาสโกว์ เซลติก แต่จบด้วยอันดับ 3 ได้โควตาไปเล่นในศึกยูฟ่า ยูโรปาลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย เป็นรางวัลปลอบใจเท่านั้น
หากลองย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่า มึนเช่นกลัดบัค เคยเป็นหนึ่งในทีมหัวแถวของวงการลูกหนังยุโรป โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 70 ซึ่งอุดมไปด้วยนักเตะระดับตำนาน ไล่ตั้งแต่ แบร์ตี้ โฟสท์ก, อูลี สตีลิเก้, จุปป์ ไฮย์เกส รวมถึง อัลลัน ซิมอนเซ่น เจ้าของรางวัลลูกฟุตบอลทองคำ "บัลลงดอร์" ในปี 1977 และเกือบได้ยึดบัลลังก์ "เจ้าสโมสรยุโรป" ในปี 1977 เมื่อตอนสมัยที่ยังใช้ชื่อการแข่งขันว่า ยูโรเปี้ยน คัพ อีกด้วย แต่ในนัดชิงพลาดท่าแพ้ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล 1-3 จึงทำได้ดีที่สุดเพียงรองแชมป์ แต่อย่างน้อยเคยได้แชมป์ยูฟ่า คัพ หรือ ยูฟ่า ยูโรปาลีก ในปัจจุบันถึง 2 สมัย เมื่อปี 1975 และ 1979 ก่อนจะเผชิญหน้ากับความตกต่ำไปนานหลายทศวรรษเลยด้วย
สำหรับ มึนเช่นกลัดบัค ในยุคปัจจุบันอยู่ภายใต้การคุมทัพของ มาร์โก โรเซ กุนซือชาวเยอรมันที่เคยสร้างชื่อจากงานคุมทีมระดับเยาวชนของ เรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก และได้ย้ายมาสวมบทเป็นนายใหญ่แห่งถิ่นโบรุสเซีย ปาร์ค เมื่อปี 2019 พร้อมกับปลุกปั้นนักเตะสายเลือดใหม่ให้ก้าวเท้าขึ้นมาแจ้งเกิดได้หลายคนเลยด้วย ไม่ว่าจะเป็น เดนิส ซากาเรีย มิดฟิลด์ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ที่ตกเป็นข่าวได้รับความสนใจจากยักษ์ใหญ่หลายสโมสร, ฟลอเรียน นอยเฮาส์ กองกลางจอมลุยที่ก้าวเท้าขึ้นไปติดทีมชาติเยอรมนีชุดใหญ่แล้ว รวมถึง มาร์คัส ตูราม ลูกชายของ ลิลิยง ตูราม ตำนานกองหลังทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 เป็นต้น
ส่วนหลังจากนี้ มึนเช่นกลัดบัค เตรียมเดินตามรอยอดีตเพื่อลองไล่ล่าความสำเร็จในเกมสโมสรยุโรปอีกครั้ง หลังตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์นั่นเอง...
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด