'ยุคทอง' ของทีมอังกฤษใน UCL : ปีนี้...เอาสักทีไหม? - FEATURE
ลั่นกลองรบขึ้นอีกครั้งสำหรับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่จะเริ่มเตะรอบ 8 ทีมสุดท้ายกันตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป และแม้ว่าช่วงหลายปีหลัง ความสำเร็จในท้ายที่สุดจะออกที่ทีมสเปนมากกว่าใคร แต่ที่จริง ทีมอังกฤษ ตัวแทนจาก พรีเมียร์ลีก ก็ถือว่ามี "ยุคทอง" อยู่เหมือนกัน จากการเข้าชิงชนะเลิศได้ถึง 4 จาก 5 ฤดูกาลหลัง
ฉะนั้น ลองย้อนไปดูแบบพอสังเขปกันหน่อย ว่าแต่ละปีเกิดอะไรขึ้นบ้าง รวมทั้งปีนี้ ลองประเมินกันคร่าวๆ ว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่ตัวแทน พรีเมียร์ลีก จะพุ่งชนถ้วยบิ๊กเอียร์เข้าอีกสักครั้ง
2017/18
เรอัล มาดริด (สเปน) 3-1 ลิเวอร์พูล (อังกฤษ)
ถัดจากที่ ดิดิเยร์ ดร๊อกบา ส่งลูกจุดโทษสุดท้ายเข้าเสียบตาข่าย บาเยิร์น มิวนิค ในนัดชิงฯ ของปี 2012 แล้ว กลายเป็นว่าหลังจากนั้นอีกยาวๆ ถึง 6 ปีให้หลัง ทีมอังกฤษถึงจะลุยเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ UCL ได้อีกครั้ง
แต่แม้ ลิเวอร์พูล (ที่ผ่าน แมนฯ ซิตี้ ได้ด้วยสกอร์รวม 5-1 ในรอบ 8 ทีม) จะเข้าไปลุ้นผงาดบัลลังก์ประจำปี 2018 พวกเขา--รวมถึงทีมน้อยใหญ่ทั่วยุโรป ก็ยังต้องแหงนคอมอง "ตัวแทนสเปน" คว้าแชมป์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน (เรอัล มาดริด / บาร์เซโลน่า / เรอัล มาดริด 3 ปีซ้อน) เมื่อหงส์แดงต้านความแรงของ เรอัล มาดริด ไม่ไหว พ่ายไปที่ 1-3
หรืออันที่จริง จะบอกว่า ลิเวอร์พูล ทนพิษบาดแผลจากความผิดพลาดของ ลอริส คาริอุส ไม่ไหว ก็อาจพูดได้เหมือนกัน เมื่อนายประตูเยอรมันทำหมูหกจนเสียประตูถึง 2 ลูกให้กับ คาริม เบนเซม่า และ แกเร็ธ เบล จนประตูตีเสมอ 1-1 ของ ซาดิโอ มาเน่ แทบไม่มีความหมายเมื่อมาเสีย 1-2 ง่ายๆ ใน 8 นาทีต่อมา ก่อนที่สุดท้าย เบล จะซัดเม็ดสองของตัวเอง ส่งราชันชุดขาวรวบโทรฟี่อีกสมัย
2018/19
ลิเวอร์พูล (อังกฤษ) 2-0 สเปอร์ส (อังกฤษ)
ภายหลังหายไปอย่างยาวนาน "ออล-อิงลิช ไฟนัล" ก็เกิดขึ้นจนได้ กับการกรุยทางมาซัดกันเองของ ลิเวอร์พูล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
นี่คือการชิงถ้วย UCL กันเองหนที่ 2 ของทีมอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2008 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะจุดโทษ เชลซี ที่มอสโก
ที่จริง มันเกือบจะเป็นการชิงกันของ ลิเวอร์พูล กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม อยู่รอมร่อ แต่แฮตทริกในช่วงอึดใจสุดท้ายของ ลูคัส มูร่า กลายเป็นส่ง สเปอร์ส เข้ามาแทนด้วยชัยชนะเรื่องประตูทีมเยือนเหนือตัวแทนเนเธอร์แลนด์
อย่างไรก็ตาม การพุ่งพรวดของ สเปอร์ส ก็หมดอายุลงเท่านั้น กับนัดชิงชนะเลิศที่ ลิเวอร์พูล ได้จุดโทษหลังเกมเริ่มไปไม่กี่วินาที โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซัดเปิดสกอร์นำ ก่อนปิดท้าย ดิว็อค โอริกี เช็คบิล 2-0 ก่อนจบเกม น.87
ลิเวอร์พูล ครองเจ้ายุโรปสมัยที่ 6 สูงที่สุดในบรรดาทีมอังกฤษ ในวันนั้น
2019/20
บาเยิร์น มิวนิค (เยอรมนี) 1-0 เปแอสเช (ฝรั่งเศส)
ปีเว้นวรรคที่ไม่มีตัวแทนพรีเมียร์ลีก ลุยเข้าไปถึงนัดชิงชนะเลิศได้ โดยร่วงกันไปถึง 3 ราย (ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส, เชลซี) ในรอบ 16 ทีม และ แมนฯ ซิตี้ ก็ร่วงรอบ 8 ทีมตามไป
อย่างไรก็ตาม ปีนั้นถือเป็นปี "ฝ่าวิกฤตโควิด" ที่ ยูฟ่า จำใจต้องปรับระบบน็อกเอาต์ 8 ทีมขึ้นไปเป็นการเตะแบบนัดเดียว ไม่มีเหย้าเยือน ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ที่พลาดท่าแพ้ โอลิมปิก ลียง 1-3 หมดสิทธิ์แก้ตัวทันที
สำหรับนัดชิง เป็นการดวลกันของ บาเยิร์น มิวนิค กับทีมเงินถังผู้หิวกระหายในแชมป์ UCL อย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง
ผลสรุปออกมาเป็น บาเยิร์น เฉือนชัย 1-0 จากประตูโทนของ คิงสลี่ย์ โกม็อง กลางครึ่งหลัง นับเป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 เช่นกันของพี่เสือ
2020/21
เชลซี (อังกฤษ) 1-0 แมนฯ ซิตี้ (อังกฤษ)
อีกหนึ่ง ออล-อิงลิช ไฟนัล ที่เกิดขึ้นเป็นหนที่ 3 ซึ่งต้องปรบมือดังๆ ให้ทั้ง เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ ที่เขี่ยยอดทีมอย่าง เรอัล มาดริด กับ เปแอสเช ร่วงไปตามลำดับในรอบตัดเชือก
แต่ในขณะที่มีการมองว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะนำ แมนฯ ซิตี้ ที่ตามหาแชมป์ UCL มานาน พุ่งเข้าเส้นชัยได้เสียที ทว่าบทสรุปของนัดชิงดำที่ปอร์โต้ ก็กลายเป็นว่า แมนฯ ซิตี้ ยังต้องร้องเพลงรอต่อไป...ไม่ต่างจาก เปแอสเช
ในเกมที่สู้กันอย่างคู่คี่สูสี ไค ฮาแวร์ตซ์ ทะลุขึ้นสังหารประตูโทนผ่าน เอแดร์ซอน โมราเอส ท้ายครึ่งแรก และหมาก 3 เซนเตอร์แบ็กของ โธมัส ทูเคิ่ล อย่าง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า - ติอาโก้ ซิลวา - อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ก็ปิดเกมรุกของทัพเรืออยู่หมัด ตรึงสกอร์ 1-0 เอาไว้จนถึงนกหวีดสุดท้าย
แมนฯ ซิตี้ 0 ทั้งสกอร์และแชมป์ยุโรป ส่วน เชลซี ได้ถ้วยนี้เป็นครั้งที่ 2
2021/22
เรอัล มาดริด (สเปน) 1-0 ลิเวอร์พูล (อังกฤษ)
ซีซั่นที่แล้ว ก็เกือบเป็นอีกครั้งที่มี ออล-อิงลิช ไฟนัล เกิดขึ้นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคู่หนึ่ง ลิเวอร์พูล ตัดเชือกกับ บียาร์เรอัล และอีกหนึ่งคู่ แมนฯ ซิตี้ ตัดกับ เรอัล มาดริด
และทั้งที่ แมนฯ ซิตี้ อุตส่าห์เปิดบ้านชนะทีมชุดขาวได้แล้ว 4-3 ในเลกแรก แต่ก็ดันต้านไม่อยู่ในเลกสอง (ทั้งที่นำ 1-0 จนนาที 89) แพ้ออกมาแบบงงๆ 1-3
แมนฯ ซิตี้ ไม่มาตามนัด ทั้งที่ ลิเวอร์พูล ผ่าน บียาร์เรอัล นิ่มๆ แล้ว ชนะทั้งเหย้าทั้งเยือน
สำหรับนัดชิง เป็นการดวลกันอีกครั้งของ เรอัล มาดริด กับ ลิเวอร์พูล
และก็อย่างที่ทุกคนทราบ เรอัล มาดริด ยังคงเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ โค่นหงส์แดงลงอีกครั้ง 1-0 จากการซัดของ วินิซิอุส จูเนียร์ จนครองแชมป์สมัยที่ 14 เข้าไปแล้ว จากการเข้าชิง 17 ครั้ง
2022/23
ผู้เหลือรอด แมนฯ ซิตี้ กับ เชลซี ...ไหวมั้ย?
มาถึงซีซั่นนี้ ภายหลังตัวแทนเมืองผู้ดีกรุยทางเข้าชิงชนะเลิศถึง 4 จาก 5 ครั้งหลัง กับความหวังว่าจะมีเพิ่มอีกเป็นหนที่ 5 จาก 6 ปี
...ก็อาจต้องบอกว่า "ไม่แน่ไม่นอน" แต่ประการใด
เพราะมาถึงตรงนี้ที่กำลังอยู่ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ตัวแทนพรีเมียร์ลีกหลงเหลืออยู่แค่ 2 รายเท่านั้น หลังจาก ลิเวอร์พูล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สองผู้เข้าชิงเมื่อปี 2019 ถูกหยุดเส้นทางเอาไว้ในเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้าย -- ลิเวอร์พูล ผูกปีแพ้ เรอัล มาดริด สกอร์รวมขาดลอย 2-6 ด้าน สเปอร์ส พ่าย เอซี มิลาน หวุดหวิด 0-1
ส่วนกับรอบ 8 ทีมนี้ เป็นคำถามสำคัญว่าทั้ง แมนฯ ซิตี้ กับ เชลซี น่ะ...ไหวมั้ย?
คืนอังคารนี้ คงพอเห็นภาพว่า แมนฯ ซิตี้ จะสามารถผ่านอีกหนึ่งตัวเต็งอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ไปได้หรือไม่ ซึ่งแม้ว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และชาวคณะเรือใบ จะกำลังเดือดพล่าน แรงจัดกว่าอีกี้ก็ แมนฯ ซิตี้ นี่แหละ เมื่อชนะมา 8 เกมซ้อนในทุกถ้วย และ 4 นัดหลังกระหน่ำรวม 21 ประตู
แต่ทานโทษ นี่คือ บาเยิร์น มิวนิค ใน UCL ปีนี้
ชนะ อินเตอร์ มิลาน 2-0 (เยือน)
ชนะ บาร์เซโลน่า 2-0 (เหย้า)
ชนะ วิคตอเรีย พิลเซ่น 5-0 (เหย้า)
ชนะ วิคตอเรีย พิลเซ่น 4-2 (เยือน)
ชนะ บาร์เซโลน่า 3-0 (เยือน)
ชนะ อินเตอร์ มิลาน 2-0 (เหย้า)
ชนะ เปแอสเช 1-0 (เยือน)
ชนะ เปแอสเช 2-0 (เหย้า)
ชนะรวด 6 นัด...ไม่พอ ยังต่อด้วยการตบเศรษฐีแดนน้ำหอมแบบไปกลับ
ใช่อยู่ว่า บาเยิร์น มีการเปลี่ยนตัวกุนซือแล้ว จาก ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ เป็น โธมัส ทูเคิ่ล และฟอร์มช่วงหลังของพี่เสือก็ไม่ค่อยสม่ำเสมอ แต่ผลงานสุดหรูใน ชปล. 8 นัดที่ผ่านมา ก็ยังโดดเด่นเป็นสง่า และ แมนฯ ซิตี้ ไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าจะผ่านได้แน่ๆ
เรือว่าหนักแล้ว แต่สิงห์...หนักกว่า
เพราะถ้วยนี้ ต้องยกให้ เรอัล มาดริด เหนือกว่าชาวบ้านเขา เมื่อไม่ว่าผลงานเกมลีกจะพลาดจะแผ่วเพียงใด พอมา ชปล. / ยูโรเปี้ยน คัพ แล้ว ก็มักตูมตามโครมครามได้ตลอด -- แชมป์ 14 สมัยเป็นพยาน
และสำคัญกว่าฟอร์มของ มาดริด สำคัญกว่าการที่ผ่าน ลิเวอร์พูล มาแบบชนะทั้งเหย้าเยือน ก็คือฟอร์มของ เชลซี เองนั่นแหละ
3 นัดหลังใช้ 3 กุนซือ และไม่มีเสียงเฮเล็ดรอดจากปากกองเชียร์ตราสิงห์แม้แต่ครั้งเดียว (ที่เฮเก้อเพราะโดน VAR ริบประตู ไม่นับจ่ะ)
แพ้ แอสตัน วิลล่า 0-2 (เกรแฮม พ็อตเตอร์)
เสมอ ลิเวอร์พูล 0-0 (บรูโน่ ซัลตอร์)
แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน 0-1 (แฟร้งค์ แลมพาร์ด)
ก็อย่างที่ร่ายยาวไว้แล้วใน บทวิเคราะห์หลังเกม เมื่อวันเสาร์ ว่าการเข้ามาเปลี่ยนระบบปุบปับของ แลมพาร์ด ไม่ได้ส่งผลดีกับทีมเลย และเป็นเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งของการฟอร์มหลุด จากที่แพ้วิลล่าแบบน่าชนะ และเสมอหงส์แบบน่าชนะเช่นกัน กลายมาเป็นแพ้ วูล์ฟส์ แบบที่สมควรแพ้อย่างไร้ข้อโต้แย้ง
และในช่วงเวลาที่ยังอาจปรับจูนไม่เข้าที่เข้าทาง ปัญหาความมั่นใจยังมี ปัญหากองหน้าไม่ค่อยเอาอ่าวเอาทะเลก็ยังอยู่ การคาดหวังให้ เชลซี ผ่าน เรอัล มาดริด ไปได้ จึงดูมีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้น้อยกว่าที่ มาดริด จะผ่าน เชลซี ชัดเจน
นอกจากนั้น สำคัญสุดก็ต้องบอกว่า ปีนี้ จะไม่มีการเจอกันเองของทีมอังกฤษ ในนัดชิงชนะเลิศที่อิสตันบูล ล้านเปอร์เซ็นต์
นั่นเพราะการจับสลากประกบคู่รอบ 8 ทีมเมื่อเดือนก่อน ได้วางผัง Bracket เอาไว้ล่วงหน้าแล้วสำหรับเส้นทางของรอบตัดเชือก เมื่อถ้าหากว่าทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ชนะผ่านรอบ 8 ทีมแล้ว ก็จะต้องไปตัดเชือกกันเองนี่แหละ (ส่วนอีกสาย จะเป็นการตัดกันของทีมอิตาลี กรณีที่ถ้า อินเตอร์ ผ่าน เบนฟิก้า เข้าไปได้)
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนจะหวังให้คู่นี้ไปตัดเชือกกัน และ/หรือ ลุ้นแชมป์ในท้ายที่สุด อันดับแรกก็คือต้องให้ทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ผ่านเลกแรก คืนอังคารและพุธนี้ ไปได้ด้วยดี ไม่มีริ้วรอยขีดข่วนเยอะเกินไปเสียก่อน
สรุปแล้วเอาเป็นว่า คอพรีเมียร์ ก็คงต้องเอาใจช่วยหนักๆ เลย เพราะจากวี่แววที่เห็น โอกาสฟาดแชมป์ UCL ของทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ปีนี้นั้น...
ยากพอๆ กับคาดหวังให้สงกรานต์ปีนี้ ไม่ได้ยินเพลง ธาตุทองซาวด์ เข้าหู!