ปีทองของ เรือใบ : ขาขึ้นของ จอห์น สโตนส์ จากคนที่ แมนฯ ซิตี้ จ่อคัดทิ้ง สู่คีย์แมนนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก - FEATURE

Manchester City FC v FC Internazionale - UEFA Champions League Final 2022/23
Manchester City FC v FC Internazionale - UEFA Champions League Final 2022/23 / Marc Atkins/GettyImages
facebooktwitterreddit

ในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตีบตันและเจาะไม่เข้า โรดรี้ ก็โผล่ขึ้นมาพังประตูชัยนำแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้สโมสร แต่เวลาเดียวกัน แชมป์นี้คงเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจาก จอห์น สโตนส์ ...คนที่ แมนฯ ซิตี้ เคยคัดจะคัดทิ้ง สู่คีย์แมนนัดชิง UCL

กองหลังที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลือก

ที่จริงแล้ว จอห์น สโตนส์ ไม่ได้เป็นเด็กปั้นของ เอฟเวอร์ตัน แต่อย่างใด โดยเติบโตและเทิร์นโปรใน "รังเจ้าตูบ" บาร์นสลี่ย์ ตามพื้นเพที่เขาเกิดเมืองนี้พอดี (ก่อนบอลโลก 1994 ไม่กี่วัน)

เพียงแต่แบ็กขวา/เซนเตอร์แบ็กอย่าง สโตนส์ ก้าวขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ บาร์นสลี่ย์ แค่ปีเดียวถ้วนเท่านั้นก็ได้ย้ายสู่ กูดิสัน พาร์ค ด้วยสนนราคา 3 ล้านปอนด์ ตอนตลาดหน้าหนาว ต้นปี 2013 และเจ้าหนูวัย 19 ต้องใช้เวลาซุ่มซ้อมอยู่พักหนึ่งเลยกว่าที่จะได้ประเดิมสนามกับทีมทอฟฟี่ ในช่วงต้นซีซั่นใหม่ 2013/14

ช่วงชีวิตของ สโตนส์ (ที่ช่วงแรกๆ ถูกแซวว่าเป็นเจ้าของบอลถ้วย จอห์นสโตนส์ เพนท์ โทรฟี่) ใน กูดิสัน พาร์ค เป็นไปด้วยดี โดยเฉพาะหลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาพักหนึ่ง จนได้ขึ้นเป็นเซนเตอร์แบ็กตัวเลือกแรกในยุคของกุนซือ โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ 2015/16

ยืนยันโดยสำนักข่าวใหญ่อย่าง บีบีซี ว่า เชลซี พยายามตามเทียวไล้เทียวขื่อจะเอาตัว สโตนส์ ไปเป็นทายาทของ จอห์น เทอร์รี่ ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ให้ได้ โดยที่ทีมตราสิงห์ยื่นข้อเสนอมาถึง 3 รอบ -- 20 ล้านปอนด์, 26 ล้านปอนด์ และ 30 ล้านปอนด์ แต่ทุกครั้งก็โดน เอฟเวอร์ตัน ปัดตกไปทั้งหมด

แต่จะว่า เอฟเวอร์ตัน ใจแข็งก็อาจใช่ กระนั้น ที่ใช่มากกว่าคงเป็นเพราะ เชลซี ออกทรงขี้เหนียว ไม่ยอมทุ่มเงินมากกว่านี้มาเอง

เพราะทันทีที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขยับเข้าหาด้วยเงินก้อนตู้ม 50 ล้านปอนด์ (47.5+2.5) เอฟเวอร์ตัน ก็รีบจับ สโตนส์ ใส่กล่องผูกโบว์ส่งตรงถึง เอติฮัด สเตเดี้ยม แบบไม่ต้องเสียเวลาเจรจากันเนิ่นนาน

และแม้จะไม่ใช่ดีลแรกสุดของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในการเริ่มงานกับ แมนฯ ซิตี้ ช่วงซัมเมอร์ 2016 แต่ก็ควรถือว่าเป็น "ดีลแรกๆ" เมื่อ สโตนส์ เข้าไปยังทัพเรือตามหลังแค่ อิลคาย กุนโดกัน, โนลิโต้, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ และ เลรอย ซาเน่ เท่านั้น

ไม่ต้องสงสัย ยอดคนอย่าง เป๊ป มองเห็นอะไรดีๆ จาก สโตนส์ แน่นอน ถึงได้ยอมจ่ายราคาสูงขนาดนี้

แต่เอาเข้าจริง ทั้ง เป๊ป และใครๆ ก็คงไม่คาดคิดไว้หรอกว่า วันหนึ่งในอนาคตหลายปีข้างหน้า จอห์น สโตนส์ จะกลายเป็นคีย์แมนคนสำคัญของแชมป์ยุโรปที่ แมนฯ ซิตี้ ตามหา

Pep Guardiola, John Stones
Manchester City FC v FC Barcelona - UEFA Champions League / Visionhaus/GettyImages

ประตูขาออกอยู่แค่เอื้อม

50 ล้านที่ลงทุนไป ไม่มีคำว่าผิดหวัง เมื่อแม้อาจมีวันที่แย่ๆ เกมที่ฟอร์มไม่เข้าที่เข้าทางบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งเพียงซีซั่นแรกในฐานะแข้ง แมนฯ ซิตี้ (2016/17) สโตนส์ ก็มีตำแหน่งตัวจริงในทีมของ เป๊ป แล้ว โดยปักหลักหลังบ้านคู่กับ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ชนิดได้ลงสนามรวมสูงถึง 41 เกม

เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยการที่ เป๊ป ไม่เคยยอมปล่อยให้ขุมกำลังนักเตะของเขากลายเป็นน้ำขังนิ่งในบ่อ มีการปรับเปลี่ยนถ่ายเทเข้าออกอยู่เสมอในแต่ละปีเพื่อเพิ่มตัวเลือกและความสดใหม่ให้กับทีม

สิ่งที่ตามมาก็คือ ครั้งหนึ่ง นักเตะหลังบ้าน แมนฯ ซิตี้ ก็ปริ่มๆ จะล้นมือ เป๊ป และ สโตนส์ (ซึ่งบาดเจ็บบ้างก็มี ปัญหาชีวิตคู่กวนใจบ้างก็มี) ถูกถอยลงไปเป็นเซนเตอร์แบ็กตัวเลือกลำดับท้ายๆ เท่ากับแต่ละแมตช์เดย์ผ่านไปแบบต้อง "นั่งดู" เพื่อนเล่น พอจบเกมก็อาบน้ำกลับบ้านนอน วนลูปไปในแต่ละสัปดาห์

2019/20 สโตนส์ ไม่ถูกส่งลงตัวจริงเกม ชปล. เลยแม้แต่นัดเดียว และได้เล่นเกม พรีเมียร์ลีก แค่ 16 นัด

กระทั่ง แมนฯ ซิตี้ เปิดไฟเขียวให้ สโตนส์ ได้ย้ายออกแล้ว โดย แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ ยืนยันว่าพวกเขา "พร้อมที่จะตอบรับข้อเสนอที่มีเข้ามาเพื่อขอซื้อ จอห์น สโตนส์ จากทุกสโมสร" และยินดีจะขายออกแบบขาดทุนด้วย อยู่ที่ว่าจะขาดทุนมากขาดทุนน้อยเท่านั้น จากเงินลงทุนตั้งต้น 50 ล้านปอนด์

แต่ทว่า การย้ายออกของ สโตนส์ ได้ถูกขัดขวางไว้ด้วยเพียงเพราะการ "ย้ายก่อน" ของอีกหนึ่งเซนเตอร์แบ็กอย่าง เอริก การ์เซีย ที่คืนสู่เหย้า บาร์เซโลน่า ช่วงซัมเมอร์ 2021

ซึ่งเมื่อเสีย การ์เซีย ไปแล้ว และไม่ได้ซื้อใครเข้ามาใหม่ สโตนส์ จึงยังคงได้อยู่เป็นตัวเลือกของ เป๊ป ต่อมาในซีซั่นนั้น 2021/22 แถมยังได้สัญญาฉบับใหม่ เซ็นร่วมงานกันจนถึงปี 2026 ด้วย

FBL-ENG-PR-MAN CITY-BOURNEMOUTH
FBL-ENG-PR-MAN CITY-BOURNEMOUTH / PETER POWELL/GettyImages

คีย์แมนนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก

นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหม่ของ สโตนส์ แต่อย่างใด ที่สำคัญคือ เขาผ่านมันมาพร้อมความผิดหวังและบทเรียนแล้วด้วย จากความพ่ายแพ้ต่อ เชลซี 0-1 ที่เอสตาดิโอ โด ดราเกา เมืองปอร์โต้ เมื่อปี 2021

เกมชิงถ้วยบิ๊กเอียร์วันนั้น สโตนส์ ถูกส่งลงตัวจริงเป็นคู่เซนเตอร์แบ็กกับ รูเบน ดิอาส แต่การยืนตำแหน่งที่ผิดพลาดในเสี้ยววินาที ก็เปิดทางให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ ทะลุเข้าไปส่องประตูโทนตัดสินเกม

สองปีถัดมา เขาได้กลับไปยืนในจุดเดิมอีกครั้ง -- ลงตัวจริงนัดชิง ชปล.

แต่แบบพิเศษใส่ไข่ ว่าเขาถูกใช้งานในตำแหน่ง "มิดฟิลด์ตัวรับ"

เพราะก็กลายเป็นการค้นพบครั้งสำคัญของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในซีซั่นล่าสุดนี้ ภายใต้สถานการณ์บังคับว่า แฟร์นันดินโญ่ ปิดตำนานย้ายออก กลางรับคนใหม่ที่ซื้อมาอย่าง แคลวิน ฟิลลิปส์ ก็เล่นไม่เข้าตา กุนซือสแปนิชจึงมองหานักเตะที่มีอยู่ในมือ แล้วก็พบว่า ตัวเซนส์บอลสูง มีความนิ่ง ฉลาด จ่ายบอลดี แข็งแกร่ง รู้เหลี่ยมเกมรับดี มีความกล้าในการพาบอลช่วยเกมรุก

นั่นก็คือ จอห์น สโตนส์

(เริ่มแรก เป๊ป ลองถ่าง สโตนส์ ออกไปยืนแบ็กขวา "inverted right-back" ก่อนในช่วงที่ ไคล์ วอล์คเกอร์ ล้มเจ็บ จนเมื่อเห็นว่ายืนกลางได้เข้าท่า ก็ค่อยๆ เปิดที่ทางให้มากขึ้น -- ส่งลงจับคู่กับ โรดรี้ หนแรกในเกมถลุง แอร์เบ ไลป์ซิก 7-0 สอบผ่านไหม? ดูสกอร์ก็รู้)

"กองกลาง... สำหรับผมแล้ว ถือเป็นสิ่งที่ผมต้องเรียนรู้อย่างมาก คุณห้ามเห็นแก่ตัว ต้องคอยหาที่ว่างให้กับเพื่อนร่วมทีมตลอดเวลา" ดาวเตะวัย 29 เอ่ยไว้ในครั้งหนึ่ง "มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ผมกำลังเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และการทำเพื่อทีมนั้นสำคัญมากที่สุด"

"มันเป็นเรื่องของการเล่นกับบอล แสดงตัวตนออกมา พยายามอ่านสถานการณ์ และคุณจะทราบว่าผู้จัดการทีมร้องขออะไรจากผม เราซ้อมกันในเรื่องนี้ตลอดเวลา"

เพราะไม่ใช่แค่ "ทำได้" แต่ สโตนส์ ยัง "ทำได้เยี่ยม" ถึงขั้นที่แฟนบอล แมนฯ ซิตี้ บางกลุ่ม ฉีกยิ้มกันใหญ่ที่จู่ๆ ก็ได้กลางรับมาสเตอร์คลาสอย่าง "เซร์คิโอ บุสเก็ตส์" มาเสริมทัพในร่างจำแลง

ดิ แอธเลติก บรรยายสรรพคุณการเล่นของ สโตนส์ ไว้ว่าเป็น "ลักษณะการเล่นแบบไฮบริด : ถอยลงไปช่วยเกมรับด้วยการเป็นหนึ่งในแผงแบ็กโฟร์ ตอนที่ ซิตี้ ไม่มีบอล แล้วขยับขึ้นมาเป็นคู่มิดฟิลด์ double pivot ร่วมกับ โรดรี้ ข้างหน้าสามเซนเตอร์แบ็ก เมื่อ ซิตี้ ได้ครอบครองบอล"

สำหรับภาพที่ อตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดี้ยม เมื่อวันเสาร์ นอกจากการดูแลเกมรับอย่างมีวินัย ไล่ตัดเกม ออกวิ่งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เผชิญหน้ากับแข้ง อินเตอร์ มิลาน อย่างไม่สั่นไหว และช่วยเกมรุกในทุกครั้งที่มีโอกาส สโตนส์ ก็ยังเพิ่มเติมความพิเศษให้ไปอีกกับการทำสถิติ "เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง" มากครั้งที่สุดในนัดชิง ชปล. ที่จำนวน 6 หน สูงสุดนับตั้งแต่ ลิโอเนล เมสซี่ ทำไว้ 10 ครั้งเมื่อปี 2015

ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการ สแตนดิ้ง โอเวชั่น จากแฟนๆ แต่ สโตนส์ ได้รับมันจากแฟนบอลเรือใบ ตอนที่ถูกถอดออกไปพักช่วงท้าย

แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ ร่ายถึงการเล่นของ สโตนส์ ในนัดชิงวันก่อนไว้ว่า "บางครั้ง ฟอร์มส่วนตัวของบางคนก็แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากทีมและเกม ซึ่ง สโตนส์ โดดเด่นมากในขณะที่รอบข้างของเขาไม่เป็นแบบนั้น" พร้อมตัดเกรด 9/10 หรือก็คือ แมนออฟเดอะแมตช์ นั่นเอง

หรือ สกาย สปอร์ตส์ ก็สรุปความสำคัญของ สโตนส์ ได้เยี่ยมไปเลย -- "เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กับ เควิน เดอ บรอยน์ คือดาวเด่นของ แมนฯ ซิตี้ คู่นี้จบอันดับ 1 กับ 2 ตามลำดับในการโหวตนักเตะแห่งปี พีเอฟเอ แต่การเล่นเกมรับที่ สโตนส์ สร้างสรรค์ให้หลังการเปลี่ยนตำแหน่งมาสู่แดนกลาง อาจเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในความสำเร็จของ แมนฯ ซิตี้ ปีนี้"

John Stones
FC Internazionale v Manchester City FC - UEFA Champions League Final 2022/23 / Eurasia Sport Images/GettyImages