J-DREAM ฝันไกลแล้วจะไปให้ถึง! - FEATURE
ฮาจิเมะ โมริยาสุ นายใหญ่ทีมชาติญี่ปุ่นกล่าวสดุดีลูกทีมของตนกับการสร้างผลงานในการคัมแบ็คกลับมาชนะ เยอรมัน 2-1 ในฟุตบอลโลก 2022 พร้อมกับยกย่องให้เป็นชัยชนะประวัติศาสตร์ของประเทศ และมันสะท้อนอะไรมากมายจากพวกเขา
ญี่ปุ่น เข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลเป็นสมัยที่ 7 ติดต่อกัน และพวกเขาไม่เคยไปได้ไกลเกินกว่ารอบ 16 ทีมสุดท้าย และเกมแรกของฟุตบอลโลก 2022 พวกเขาเริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยมกับการตามหลัง เยอรมัน 0-1 ก่อนที่จะพลิกสถานการณ์ได้อย่างสุดยอดในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกมเอาชนะไปได้ 2-1 ถือครองโอกาสที่มากขึ้นในการเข้ารอบต่อไปทันที โดยทั้งสองประตูเกิดจากสองนักเตะญี่ปุ่นที่ลงเล่นใน บุนเดสลีกา เยอรมัน ริทซึ โดอัน (ไฟร์บวร์ก) / ทาคุมะ อาซาโนะ (โบคุ่ม)
“ผมเชื่อว่านี่จะเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ชัยชนะที่สามารถพูดได้ว่าอย่างน้อย มันจะถูกกล่าวถึงถ้ากำลังคิดถึงการพัฒนาของวงการฟุตบอลญี่ปุ่น เรากำลังสร้างมันต่อเนื่อง กับเหล่าผู้เล่นที่กำลังเติบโตและออกเดินทางไปเล่นในต่างแดนมากขึ้น เราเชื่อว่าลีกเหล่านั้นจะสามารถยกระดับศักยภาพของผู้เล่นญี่ปุ่น ดังนั้นเราจึงเป็นเกียรติและเคารพพวกเขาอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าเราลงสนามจะเจอกับทีมไหนก็ตาม เราลงสนามไปเพื่อชัยชนะเท่านั้น ผู้คนชาวเยอรมัน และเหล่าผู้เล่นรวมถึงเทรนเนอร์ต่างมีส่วนในการยกระดับวงการฟุตบอลของญี่ปุ่น วันนี้เราชนะ แต่เราก็ยังคงต้องพัฒนาต่อไป เรียนรู้อะไรอีกมากจากเยอรมัน และโลกฟุตบอลนี้ นี่คือแนวคิดเพื่ออนาคตของพวกเรา”
นี่คือส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์หลังเกมของ ฮาจิเมะ โมริยาสุ ผู้จัดการทีมชาติญี่ปุ่น หลังเกมที่พวกเขาเอาชนะ เยอรมัน 2-1 เป็นครั้งแรกที่พวกเขาโค่นทีมใหญ่ระดับแชมป์โลกได้ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ที่น่าชื่นชม และแสดงให้เห็นถึง “เจแปนสไตล์” อย่างมาก พวกเขาถ่อมตนเสมอ แม้ในวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดวันหนึ่งของประเทศ
ญี่ปุ่นมีการวางแผนในเรื่องของฟุตบอลมาตลอดนับจากพวกเขาต้องการพัฒนาวงการฟุตบอลอย่างจริงจัง แต่เดิมฟุตบอลไม่ใช่กีฬายอดนิยมของประเทศ เบสบอล คือเบอร์หนึ่งของแผ่นดินนี้ แต่มาวันนี้ฟุตบอลของพวกเขา ขับเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมแฟนบอลนับล้านในประเทศที่พร้อมสนับสนุนไปด้วยกัน
J-League ก่อตั้งขึ้นในปี 1992 จากเดิมเป็นเพียงลีกสมัครเล่น กลายมาเป็นจุดตั้งต้นของฟุตบอลอาชีพ และเพียงไม่ถึงสองปี พวกเขาเจอกับความผิดหวังครั้งแรกอย่างรุนแรง
“ความผิดหวังที่โดฮา” ในวันที่ 28 ตุลาคม 1993 พวกเขาต้องการชัยชนะเหนืออิรัก เพื่อคว้าตั๋วไปฟุตบอลโลก 1994 รอบสุดท้าย “ชัยชนะ” จะทำให้พวกเขาได้ไปอเมริกา แต่สุดท้ายพวกเขาเสียประตูในนาทีที่ 90 ชัยชนะกลายเป็นเสมอ และความฝันนั้นก็หลุดลอยไป ณ เวลานั้น ร้องไห้กันทั้งประเทศก็คงไม่ผิดนัก แต่มาวันนี้ในแผ่นดินเดียวกัน พวกเขาร้องไห้ด้วยความดีใจเมื่อพวกเขาเอาชนะเยอรมันได้แบบประทับใจคนดูทั้งโลก
หลังความล้มเหลวในปี 1993 วันนั้นน่าเสียใจ แต่มันก็กลายเป็น “ยากระตุ้นอย่างแรง” สำหรับแฟนบอล และเด็กหนุ่มจำนวนมากในญี่ปุ่นให้หันมาสนใจในฟุตบอลอย่างเต็มที่ J-League ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
16 พฤศจิกายน 1997 ชัยชนะเหนืออิหร่าน 3-2 ทำให้ญี่ปุ่นได้ไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ฝรั่งเศส และหลังจากนั้นพวกเขาไม่พลาด “รอบสุดท้าย” ฟุตบอลโลกอีกเลย
1998 ฟุตบอลโลกครั้งแรกของพวกเขา 22 ขุนพลซามูไร ลงเล่นอยู่ในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด
2022 ฟุตบอลโลกครั้งที่เจ็ดติดต่อกันของพวกเขา 26 ขุนพลซามูไร ลงเล่นในประเทศญี่ปุ่นเพียง 7 คน และใน 2 ใน 7 คน คือ ยูโตะ นากาโตโมะ และ ฮิโรกิ ซากาอิ ผู้เคยผ่านลีกระดับท็อปของโลกมาแล้วก่อนกลับมาเล่นในบ้านเกิดในช่วงบั้นปลาย ซึ่งมันสะท้อนถึงบทสัมภาษณ์ด้านบนของ โมริยาสุ อย่างชัดเจน
“DREAM” โปรเจคต์ของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นในปี 2005 เป็นเสมือนแผนแม่บทของวงการฟุตบอลระดับชาติที่มีเป้าหมายในปี 2050 พวกเขาจะเป็น “แชมป์โลก” ให้จงได้
ชัยชนะเหนือเยอรมันอาจเป็นแค่เกมหนึ่งเกมที่จะเป็นความทรงจำ แต่มันก็สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขากำลังทำให้คนทั้งโลกเห็นว่าฝัน “แชมป์โลก” ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาอีกต่อไป เช่นเดียวกับ เจลีก ที่ปีนี้ครบรอบ 30 ปีการก่อตั้งลีกอย่างเป็นทางการ พร้อมกับการได้รับการยกย่องว่าเป็นลีกที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียไปเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนมีความฝัน กล้าที่จะฝัน แต่จะมีสักกี่คนที่จะ “สร้าง” ฝันเหล่านั้น และสร้างยังไงให้เป็นขั้นเป็นตอน “ซามูไรบลู” ทำให้เห็นแล้ว…ขอชื่นชมจากใจครับ พวกคุณยอดเยี่ยมมาก