ย้อนรอยเส้นทางการป้องกันแชมป์อันไม่สวยหรูของ เชลซี ในฐานะเจ้ายุโรป - FEATURE

Manchester City v Chelsea FC - UEFA Champions League Final
Manchester City v Chelsea FC - UEFA Champions League Final / Visionhaus/Getty Images
facebooktwitterreddit

ด้วยศักดิ์ศรี "แชมป์เก่า" ในฐานะ "เจ้าสโมสรยุโรป" จากเมื่อฤดูกาลก่อน ทำให้ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ได้รับการยกให้เป็นหนึ่งในทีมเต็งที่มีโอกาสลุ้นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ประจำฤดูกาล 2021/2022 ได้เหมือนกัน เพื่อป้องกันบัลลังก์แชมป์ของตัวเองเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน และจะได้ชูถ้วยแชมป์ใบใหญ่ที่สุดของทวีปเป็นสมัยที่ 3 ในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรอีกด้วย แต่ต้องระวังเหตุการณ์ "เดจาวู" จากเมื่อ 9 ปีก่อนเอาไว้ได้ให้ดีๆ เพราะว่า เชลซี เคยหมดสภาพแบบสิ้นลายแชมป์เก่าในช่วงฤดูกาลถัดมานั่นเอง

Manchester City v Chelsea FC - UEFA Champions League Final
Manchester City v Chelsea FC - UEFA Champions League Final / Visionhaus/Getty Images

ย้อนหลังกลับไปในช่วงฤดูกาลก่อน เชลซี สามารถผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นสมัยที่ 2 โดยมีอยู่หนึ่งเหตุการณ์ "เดจาวู" ที่เหมือนตามรอยความสำเร็จจากเมื่อตอนที่ยึดบัลลังก์ "เจ้าสโมสรยุโรป" เป็นครั้งแรกในปี 2012 นั่นก็คือการเปลี่ยนตัวกุนซือแบบกลางคัน เพราะเมื่อช่วงซีซั่นที่แล้วได้ประกาศปลด แฟรงค์ แลมพาร์ด ตำนานนักเตะของสโมสรที่ได้ผันตัวเองมาทำหน้าที่โค้ชให้ออกจากตำแหน่งนายใหญ่แห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ในช่วงต้นปี 2021 และแต่งตั้ง โธมัส ทูเคิ่ล โค้ชชาวเยอรมนีให้เข้ามารับงานคุมทีมต่อเลย

หลังจากนั้น ทูเคิ่ล ได้นำทัพ "สิงโตน้ำเงินคราม" เข้าป้ายแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ประจำฤดูกาล 2021/2022 ได้สำเร็จ จึงเป็นเหตุการณ์ "เดจาวู" เหมือนตอนที่ยึดบัลลังก์ "เจ้าสโมสรยุโรป" เป็นครั้งแรกเมื่อฤดูกาล 2011/2012 โดยตอนนั้น เชลซี ได้ตัดสินใจปลด อังเดร บียาส โบอาส โค้ชชาวโปรตุกีสในเดือนมีนาคมปี 2012 เพราะทำผลงานได้แบบกระท่อนกระแท่นเหลือเกิน และเกือบจะตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อยู่แล้วด้วย หลังพลาดท่าบุกไปแพ้ นาโปลี ทีมดังแห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ในนัดแรก 1-3 โดยมอบหมายให้ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ อดีตกองกลางทีมชาติอิตาลีที่เคยค้าแข้งกับสโมสรในช่วงทศวรรษ 90 ให้สวมบทเป็นกุนซือขัดตาทัพไปก่อน

Chelsea's Spanish forward Fernando Torre
Chelsea's Spanish forward Fernando Torre / PATRIK STOLLARZ/Getty Images

แม้จะไม่เคยผ่านงานคุมทีมใหญ่ๆ มาก่อนเลย แต่ ดิ มัตเตโอ สามารถนำทัพ เชลซี พลิกกลับมาเปิดบ้านเป็นฝ่ายชนะ นาโปลี ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 5-4 จึงได้ทะลุผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศที่เฉือนชนะ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค ทีมมหาอำนาจลูกหนังแห่งศึกบุนเดสลีกา เยอรมนี ในช่วงดวลจุดโทษตัดสิน หลังเสมอกันจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษครบ 120 นาทีนั่นเอง และเป็นการยึดบัลลังก์ "เจ้าสโมสรยุโรป" ได้เป็นครั้งแรกแบบพลิกความคาดหมายเลยด้วย เพราะว่าก่อนหน้านั้นเคยผิดหวังจากการได้เพียง "รองแชมป์" ในช่วงหลังจบเกมนัดชิงปี 2008 หลังพลาดท่าแพ้ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงดวลจุดโทษตัดสินนั่นเอง

ทำให้ เชลซี ต้องรีบตอบแทนความดีความชอบของ ดิ มัตเตโอ ด้วยการเลื่อนชั้นให้เป็นกุนซือแบบถาวรไปเลย โดยจับเซ็นสัญญาเป็นเวลา 2 ปีด้วยกัน เพื่อสานต่อภาระกิจหลักคือการป้องกันแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เอาไว้ให้ได้ และจะได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์เก่าทีมแรกที่สามารถยึดบัลลังก์ "เจ้าสโมสรยุโรป" เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันได้สำเร็จ เพราะตอนนั้นยังไม่เคยมีแชมป์เก่าทีมไหนทำได้มาก่อนเลย นับตั้งแต่เกมฟาดแข้งรายการใหญ่ที่สุดของยุโรปเปลี่ยนชื่อจาก ยูโรเปี้ยน คัพ มาเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 1992 จนถึงปัจจุบัน แต่หลังจากนั้น "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึกลาลีกา สเปน ได้จัดการปลดล็อกอาถรรพ์ "แชมป์เก่า" ด้วยการจารึกชื่อเป็นทีมแรกที่ป้องกันแชมป์รายการนี้เอาไว้ได้ และทำได้ถึง 3 สมัยติดต่อกันในช่วงระหว่างปี 2016-2018 เลยด้วย

Roberto Di Matteo
FC Barcelona v Chelsea FC - UEFA Champions League Semi Final / Shaun Botterill/Getty Images

ส่วนในฤดูกาล 2012/2013 "สิงโตน้ำเงินคราม" ได้เริ่มต้นเส้นทางลุ้นป้องกันบัลลังก์ "เจ้าสโมสรยุโรป" ในรอบแบ่งกลุ่ม โดยถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่ม อี ร่วมสายเดียวกับ ยูเวนตุส จากอิตาลี, ชักตาร์ โดเน็คส์ท จากยูเครน และ นอร์ดเยลลันด์ จากเดนมาร์ก แม้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับการตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบต่อไป เพราะตอนนั้นมีดาวเตะชื่อเสียงอย่าง ปีเตอร์ เช็ก, จอห์น เทอร์รี่, แฟรงค์ แลมพาร์ด, เอเดน อาซาร์ รวมถึง เฟอร์นันโด้ ตอร์เรส เป็นตัวชูโรงทั้งหมดเลย

แต่ เชลซี ภายใต้การคุมทัพของกุนซือ ดิ มัตเตโอ กลับพลาดท่าตกรอบแบ่งกลุ่มไปแบบพลิกล็อกสุดๆ หลังลงเตะครบตามโปรแกรมทั้ง 6 นัด มี 10 คะแนน เท่ากับ ชักตาร์ โดเน็คส์ท พอดีเลย แต่เป็นรองในเรื่องของผลงานการพบกันเองตามสถิติ "เฮด-ทู-เฮด" เพราะว่าบุกไปแพ้จากการลงเล่นเกมนัดที่ 3 ด้วยสกอร์ 1-2 แม้จะสามารถกลับมาเปิดบ้านเฉือนชนะในเกมที่ 4 ด้วยสกอร์ 3-2 แต่ว่าเสียประตูในบ้านถึง 2 ลูก จึงตกรอบตามกฎประตูทีมเยือนในกรณีที่ทั้งสองทีมคู่กรณีมีคะแนนเท่ากัน จึงต้องนำเรื่องนี้มีช่วยตัดสินหาทีมที่จะได้ผ่านเข้ารอบนั่นเอง และต้องจบด้วยอันดับ 3 ซึ่งจะได้สิทธิ์ลงไปเล่นในศึกยูฟ่า ยูโรปาลีก เป็นรางวัลปลอบใจกันไป

Roberto Di Matteo
Juventus v Chelsea FC - UEFA Champions League / Claudio Villa/Getty Images

หลังจากนั้น เชลซี ได้ตัดสินใจไล่ตะเพิด ดิ มัตเตโอ ออกจากตำแหน่งนายใหญ่แห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ทันที เพราะทำให้ "สิงโตน้ำเงินคราม" จารึกชื่อเป็นแชมป์เก่าทีมแรกที่ตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จนถึงปัจจุบันเลยนั่นเอง แม้จะมีการแต่งตั้ง ราฟาเอล เบนิเตซ โค้ชชาวสเปนให้เข้ามาสวมบทเป็นกุนซือขัดตาทัพต่อเลย และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปาลีก ประจำฤดูกาล 2012/2013 ได้ด้วย แต่ไม่สามารถลบล้างความผิดหวังจากการกระเด็นตกรอบแบ่งกลุ่มในถ้วยใบใหญ่สุดของทวีปแบบสิ้นลายแชมป์เก่าไปได้ทั้งหมด

ส่วนในฤดูกาล 2021/2022 เชลซี ในฐานะแชมป์เก่าของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่ม เอช ซึ่งมีเรื่องราวที่คล้ายๆ เมื่อ 9 ปีที่แล้วอยู่เหมือนกัน เพราะได้อยู่ร่วมสายเดียวกับ ยูเวนตุส อีกครั้งหนึ่งด้วย ส่วนอีกทีมคือ เซนิท เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก จากรัสเซีย ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เคยถูกใต้ร่มเงาของสหภาพโซเวียตเหมือนอย่าง ชักตาร์ โดเน็คส์ท จากยูเครนนั่นเอง และอีกหนึ่งทีมก็คือ มัลโม่ จากสวีเดน ซึ่งอยู่ในภูมิภาคสแกนดิเนเวียทางตอนเหนือของยุโรปเหมือนกับ นอร์ดเยลลันด์ จากเดนมาร์กด้วยเช่นกัน

จึงหวังว่า ทูเคิ่ล จะไม่นำทัพ "สิงโตน้ำเงินคราม" เดินตามรอยเหตุการณ์ "เดจาวู" เป็นทีมแชมป์เก่าที่ต้องตกรอบแบ่งกลุ่มในช่วงฤดูกาลถัดมาเหมือนอย่างที่ ดิ มัตเตโอ ได้เคยฝากผลงานชิ้นโบดำเอาไว้เมื่อ 9 ปีที่แล้วอีกครั้งหนึ่ง


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด