หลังเกมแห่งศักดิ์ศรีของ “สงครามลอนดอนเหนือ” - FEATURE
• สเปอร์ส ไม่ชนะอาร์เซนอลเป็นเกมที่ 4 ติดต่อกันในทุกรายการแข่งขัน
จบไปอีกหนึ่งเกมสำหรับฤดูกาลนี้ เหลืออีก 3 เกมสุดท้ายของฤดูกาล เหลืออีก 20 วัน ทุกอย่างของฤดูกาล 2023-2024 เหลืออีก 3 เกมที่เหลือสำหรับ อาร์เซนอล และ 4 เกมสำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ “ม้าสองตัวสุดท้าย” ของฤดูกาลนี้
สุดสัปดาห์นี้จบลงด้วยการที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงถือความได้เปรียบด้วยจำนวนเกมที่มากกว่าหนึ่งเกม ขณะที่อาร์เซนอลมีคะแนนมากกว่าหนึ่งคะแนน ในจำนวนเกมที่ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ โดยแมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกเอาชนะ นอตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ตามเป้าหมาย ขณะที่อาร์เซนอล ผ่านงานใหญ่ที่สุดเกมหนึ่งของพวกเขาด้วยสามคะแนนกับชัยชนะใน “สงครามลอนดอนเหนือ” หนึ่งเกมดาร์บี้ร่วมเมืองที่ดุดันที่สุดในวงการฟุตบอล และเต็มไปด้วยความหมายสำหรับแฟนบอลทั้งสองทีม
นี่คือเรื่องราวหลังเกมนี้ที่เรานำมาฝากกัน กับชัยชนะ 3-2 ของอาร์เซนอล เหนือ สเปอร์ส ทีมคู่อริของพวกเขาตลอดกาล
สถิติสวนทางกับผลการแข่งขัน
เกมนี้เป็นเกมที่ได้เห็นการต่อสู้ของทั้งสองทีมที่มีแรงสนับสนุน และแรงผลักดันไปสู่เป้าหมาย เป็นหนึ่งเกมที่สถิติการยิงเข้ากรอบของทั้งสองทีม กลายเป็นจำนวนประตูของเกมนี้ (สเปอร์ส 2 / อาร์เซนอล 3) แม้หนึ่งในประตูของปืนใหญ่จะมี Own Goal รวมอยู่ในนั้นก็ตาม ในเกมที่ตัวเลขชี้ชัดเจนว่า สเปอร์ส ทำได้ดีกว่า เป็นหนึ่งในน้อยเกมของฤดูกาลนี้ที่ อาร์เซนอล สร้างโอกาสยิงประตูน้อยกว่า ครองบอลน้อยกว่า ผ่านบอลน้อยกว่า ความแม่นยำการออกบอล หรือกระทั่งจังหวะการได้เตะมุมยังจำนวนน้อยกว่า แต่สุดท้ายความเฉียบคมยังคงเป็นสิ่งที่ตัดสินเกมการแข่งขัน ไม่ใช่ “รูปเกม” ตลอดการแข่งขัน
“รูปเกม” ที่ดีอาจน่าพอใจในความรู้สึกแต่ “ผลการแข่งขัน” คือ “สถิติ” ที่จะฝังอยู่ในประวัติศาสตร์ตลอดไป
เฉียบคม = ชัยชนะ ผิดพลาด =หายนะ
อาร์เซนอล มีโอกาสยิงรวมแล้ว 9 ครั้ง แม้ผู้เขียนจะไม่ได้ไปไล่เช็คข้อมูลแต่ก็เชื่อมั่นได้ว่านี่เป็นไม่กี่เกมในปีนี้ที่พวกเขาสร้างโอกาสได้ไม่ถึง 10 ครั้ง โดยเฉพาะในปี 2024 ที่ผ่านมา ปืนใหญ่ กลายเป็น ปืนกล หลายต่อหลายเกม สิ่งที่ทำให้พวกเขาชนะได้ในเกมนี้คือเรื่องของการใช้โอกาสไม่เปลือง
อาร์เซนอล ได้สามประตูจากสิ่งที่พวกเขา “ถนัด” และ “ศึกษาคู่แข่ง” มาแล้ว
2 ใน 3 ประตูของอาร์เซนอลได้มาจากการเล่นลูกเตะมุม ที่ “สถิติ” อีกเช่นกันบอกเราว่า อาร์เซนอล คือทีมที่ได้ประตูจากลูกเตะมุมมากที่สุดในพรีเมียร์ ลีก ดังนั้น 6 ลูกเตะมุมในวันนี้ได้มาถึง 2 ประตู ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา ขณะที่อีกหนึ่งประตู มาจากการผิดพลาดในการดันเกมรับขึ้นสูงที่เป็นแนวทางการเล่นของสเปอร์ส เจอกับวางบอลสู่พื้นที่เปิดกว้าง และปล่อยให้ บูคาโย่ ซาก้า (22 ปี สัญญาถึงกลางปี 2027) ได้เข้าพื้นที่สังหาร และเขาก็ไม่พลาด
ประตูของ ซาก้า ลักษณะนี้เริ่มพอจะเรียกได้ว่า “ลูกหากิน” ก็พอจะได้แล้วกับการเลี้ยงจี้เข้าหาแล้วตัดเข้าในเพื่อยิงประตู อีกไม่นานคงจะเหมือนกับ อาร์เยน ร็อบเบน ที่รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องทำแบบนี้ แต่คู่แข่งก็ไม่ง่ายจะหยุดเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม การนำห่าง 3-0 ของอาร์เซนอล น่าจะราบรื่น เพียงแต่ว่านี่ไม่ใช่เกมทั่วไป นี่คือเกมสุดพิเศษที่แบกรับความคาดหวัง และแบกรับ “เกียรติยศ” ของสองสโมสรเอาไว้
“สงครามลอนดอนเหนือ” ไม่เคยง่าย และไม่เคยกรุณาต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในเกมนี้ ทั้ง 5 ประตูที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นจากความผิดพลาดส่วนตัวของผู้เล่นถึง 3 ประตู ด้วยกัน และทุกประตูเพิ่มดีกรีของความระอุ และตึงเครียดให้กับเกมการแข่งขัน โดยเฉพาะฟากฝั่งของอาร์เซนอล ที่ต้องยอมรับว่าสองประตูที่เสียความบริสุทธิ์ในเกมนี้พวกเขาพลาดกันเอง และนำพาซึ่งความยากลำบากมาสู่ตนและพวกพ้อง
ดาบิด ราย่า ก่อความผิดพลาดอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับการพลาด “น้อยนิดมหาศาล” นำมาซึ่งการเสียประตู ไม่น่าแปลกใจที่เมื่อจบเกมจะเห็นสีหน้าแห่งความโล่งใจของเจ้าตัวออกมาอย่างชัดเจน เพราะหากเกมนี้ปืนใหญ่ไม่สามคะแนน ราย่า เลิกเข้าโลกออนไลน์ไปได้เลย เพราะเขาคือจุดเริ่มต้นของ 25 นาทีสุดท้ายแห่งความทุกข์ทรมานของอาร์เซนอลในเกมนี้ กับการเจอไล่บด และโดนขึงเกมในช่วงท้าย จากแรงฮึดของทีมเจ้าบ้านเมื่อได้ประตูแรก กับการเตะเปิดบอลพลาดไปเข้าทางคู่แข่ง และกลายเป็นเสียประตู
การเข้ามาของ ราย่า ยกระดับการเล่นในระบบการเล่นของ มิเคล อาร์เตต้า อย่างที่นายใหญ่ชาวสแปนิชต้องการ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการยกระดับจากการเล่นในทีมระดับน้องใหม่พรีเมียร์ ลีกมาสู่ทีมลุ้นแชมป์ เขาเจอกับประสบการณ์ใหม่มากมายในฤดูกาลนี้ นี่คือเรื่องที่ราย่าต้องเรียนรู้ และกำลังเรียนอยู่
อย่างไรก็ตาม ราย่า คือมือหนึ่งของอาร์เซนอล และจะเป็นเช่นนั้นต่อไป แม้จะก่อความผิดพลาดในเกมนี้ เราทุกคนต่างรู้ดี แม้กระทั่งทีมถ่ายทอดสดของอังกฤษก็ “เลิกแล้ว” กับการจับภาพไปหา อารอน แรมสเดล ที่นั่งอยู่ข้างสนามเมื่อราย่าทำพลาด เพราะตอนนี้สถานะชัดเจนไปนานแล้ว
ขณะที่ ดีแคลน ไรซ์ ดีมาตลอดฤดูกาล แม้กระทั่งในเกมนี้ในการเป็นตัวเชื่อมเกม แต่การทำฟาลว์ในเขตโทษแบบนั้นเป็นเรื่องผิดพลาดที่ส่งผลเยอะต่อเกมโดยตรง และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทีมเจ้าบ้านที่เข้าหาบอลทุกจังหวะเพื่อโอกาสในการคัมแบ็คสู่เกมนี้
“หัวใจนักสู้” ของสเปอร์ส
แม้จะเป็น “อริเบอร์หนึ่ง” แต่เกมนี้ ผู้เขียน ชื่นชมในหัวใจนักสู้ของสเปอร์สในยุคของ แองจ์ ปอสเตโคกลู ที่แสดงให้เห็นมาบ่อยครั้งว่า เขาสอนนักเตะให้เป็นนักเตะที่พร้อมสู้ ทุกสถานการณ์ การตามหลัง 3 ประตู แล้วยังไม่ถอดใจ เดินหน้าต่อสู้จนถึงหยดสุดท้าย แม้จะแพ้ 3-2 แต่ก็น่าประทับใจ และเชื่อได้เลยว่า พวกเขาพร้อมยืนยันมอบหัวใจถวายให้เป็นการตอบแทน เมื่อทีมที่เชียร์เล่นได้อย่างน่าเชียร์และหวังว่าจะส่งไปถึงเหล่าแฟนบอลที่เดินกลับก่อนในช่วงพักครึ่งเวลาว่า “พลาดแล้ว” ที่ไม่อยู่ดูใจทีมรักของตนจนจบเกม
“รูปเกม” ผ่านสถิติวันนี้บอกกับเราว่า สเปอร์ส ทำได้ดีกว่าอาร์เซนอล พวกเขาสามารถสร้างสรรค์ และมีโอกาสที่จะแจ้งหลายต่อหลายครั้ง ทั้งการโหม่งชนเสาของ คริสเตียน โรเมโร่ ในครึ่งแรก หรือกระทั่งการเซฟลูกยิงจ่อ ๆ ของซาก้าในช่วงต้นครึ่งหลัง โดย กิเยร์โม วิคาริโอ ก็เป็นการเซฟทั้งเกมในเวลานั้นให้ยังอยู่ต่อไป และอดทนรอคอยจุดเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ
ประตูแรกของสเปอร์สในเกมนี้จึงสำคัญ และทำให้ “โมเมนตัม” นับจากนั้น สเปอร์ส เหนือกว่า อาร์เซนอล แบบชัดเจน มา ขณะที่อาร์เซนอล ปั่นป่วนหนักประสาทเสีย และกลับมาเป็นผู้ควบคุมเกมไม่ได้อีกเลยจนจบเกม
การได้ประตูที่สองจากจุดโทษก็ยิ่งทำให้ภาพรวมของเกมนี้ มันสอดคล้องกับสถิติที่ออกมา แต่ความผิดพลาดไม่เกิดขึ้นมากพอจะเกิดประตูที่สาม เช่นเดียวกับความเฉียบคมที่ก็ไม่มาอีกแล้วในเกมนี้
ภาพของ ซอน ฮึน-มิน ที่หันมากระตุ้นเพื่อนร่วมทีมหลังการยิงประตูที่สอง ไม่ต่างจากภาพของ มาร์ติน เออเดการ์ด ที่ฉายซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าในสายตาแฟนปืนใหญ่ นี่กัปตันที่ทั้งสองสโมสรภาคภูมิใจ
สเปอร์สในครึ่งหลัง แบกรับความรู้สึกของ “ศักดิ์ศรี” และ “เป้าหมาย” ในการไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก เกมนี้คือ “เดิมพันใหญ่” ของพวกเขาเช่นกัน
ก้าวสำคัญของ “ปืนใหญ่”
อาร์เซนอล การันตีการไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก 100 % เรียบร้อยแล้วในเกมนี้ ชัยชนะในเกมยากที่สุดเกมหนึ่งในปีนี้ ทำให้พวกเขาได้ไปต่อใน 3 เกมที่เหลือที่ยังคงต้องชนะทุกเกม และไปลุ้นให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลาดสักเกม เพื่อโอกาสที่มากขึ้นในอีก 20 วันสุดท้ายของพรีเมียร์ ลีก ขณะที่เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้วจบปีด้วยการเก็บได้ 84 คะแนน จาก 38 เกม มาถึงตรงนี้ 35 เกม 80 คะแนน นี่คือ “มาตรฐาน” ที่พวกเขาสร้างขึ้น และมันจะต้องไม่ถูกนับเป็นความสำเร็จใด ๆ ทั้งสิ้น
ต่อจากนี้ ไม่มีอะไรต้องกังวลทั้งสิ้น หน้าที่ของอาร์เซนอลคือชนะทั้งหมด นั่นคือสิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง ขณะที่เรื่องอื่นในเมื่อควบคุมไม่ได้ก็ไม่ต้องนำมันมาใส่ใจ
“Whatever will be, will be” อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราไม่สามารถหยั่งรู้อนาคตได้ ชีวิตมันถึงมีคุณค่า การแข่งขันถึงน่าตื่นเต้น และการไปถึงเป้าหมายถึงมีความหมาย
ทำให้ดีที่สุด…เพราะเราไม่อาจย้อนคืนวันเวลาใด ๆ ได้อีกแล้ว