สิงห์ผงาด 1-3 สิงห์น้ำเงิน : เก็บตกหลังเกม เอฟเอ คัพ นัด เชลซี มาดีกว่าที่คิด ลิ่วรอบ 5 เอฟเอ คัพ สวยๆ - FEATURE
• นั่นทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า แอสตัน วิลล่า มีสิทธิ์ผ่าน เชลซี ได้ในเกมนี้
• แต่กลายเป็นว่า เชลซี มาดีกว่าที่ใครคาดคิดไว้เยอะ ชนะ 3-1 ผ่านเข้าสู่รอบ 5 เอฟเอ คัพ ได้ต่อไป
รายการ: ฟุตบอล เอฟเอ คัพ รอบ 4 นัดแข่งใหม่
วันแข่งขัน: วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567
สนาม: วิลล่า พาร์ค
ผลการแข่งขัน: แอสตัน วิลล่า 1-3 เชลซี
สิงห์กับ 'นัดแข่งใหม่'
- 2006/07 (รอบ 8 ทีม) เสมอ สเปอร์ส 3-3, ชนะ 2-1
2008/09 (รอบ 3) เสมอ เซาธ์เอนด์ 1-1, ชนะ 4-1
2010/11 (รอบ 4) เสมอ เอฟเวอร์ตัน 1-1, แพ้จุดโทษ 3-4
2011/12 (รอบ 5) เสมอ เบอร์มิงแฮม 1-1, ชนะ 2-0
2012/13 (รอบ 4) เสมอ เบรนท์ฟอร์ด 2-2, ชนะ 4-0
2012/13 (รอบ 8 ทีม) เสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-2, ชนะ 1-0
2017/18 (รอบ 3) เสมอ นอริช ซิตี้ 0-0, ชนะจุดโทษ 5-3
ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ช่วงหลัง เชลซี มีต้องเตะรีเพลย์ใน เอฟเอ คัพ อยู่เรื่อยๆ แม้ในระยะ 3-4 ปีหลังจะไม่มีปรากฏเลยก็ตาม
สำคัญคือ สถิติฟ้องว่า เชลซี ทำได้ดีเลยกับเกมแก้มือแข่งใหม่ เมื่อจาก 7 ครั้งหลังสุด มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่แพ้ตกรอบ คือที่แพ้จุดโทษ เอฟเวอร์ตัน จนหลุดออกจาก เอฟเอ คัพ รอบ 4 ซีซั่น 2010/11 (ยุค คาร์โล อันเชล็อตติ)
นอกนั้นอีก 6 ครั้ง เชลซี เป็นฝ่ายชนะได้ทั้งหมด รวมถึงหนล่าสุดเมื่อปี 2018 ซึ่งแก้ตัวชนะ นอริช ได้ในรอบ 3
แต่นัดนี้ถือว่าเป็นรอง
อย่างไรก็ตาม ก่อนเกมนี้ พบว่า เชลซี จะต้องเดินลงสนามไปด้วยความ "เป็นรอง" แอสตัน วิลล่า ในหลายๆ ปัจจัย ทั้งสภาพทีม, ฟอร์มภาพรวมระยะหลัง และเรื่องของเฮดทูเฮดที่พบกัน
พบว่า เชลซี ไม่อาจเจาะหลังบ้าน แอสตัน วิลล่า เข้าได้มา 3 เกมซ้อนแล้ว
16 ต.ค. 2022 พรีเมียร์ลีก คือหนสุดท้ายที่ เชลซี ยิง วิลล่า ได้ที่ วิลล่า พาร์ค 2-0 จากการเหมาซัดของ เมสัน เมาท์ จากนั้นเป็นต้นมา...
- 03/23 พรีเมียร์ลีก : เชลซี 0-2 แอสตัน วิลล่า
09/23 พรีเมียร์ลีก : เชลซี 0-1 แอสตัน วิลล่า
01/24 เอฟเอ คัพ : เชลซี 0-0 แอสตัน วิลล่า
เรียกว่า ผลการเจอกันตลอดช่วงหลัง ทำให้ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ พร้อมเผชิญหน้า เชลซี ด้วยความ "มั่นใจเป็นพิเศษ" เสมอ
เปลี่ยนทีมน่าสนใจ
อย่างที่ทราบ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ยังคงต้องเจอปัญหาตัวเจ็บกองพะเนินนับสิบไม่ต่างจากเดิม และยังไม่มีใครรู้ด้วย, แม้แต่ตัวพอชเอง, ว่าปัญหานี้จะสร่างซาลงได้ตอนไหน
แต่ถือว่าเกมนี้ กุนซืออาร์เจนไตน์ โรเตชั่นทีมได้อย่างน่าสนใจ ปรับในจุดที่ควรปรับ และถือว่า "ผิดคาด" ไปพอตัวด้วยกับตำแหน่งการยืนที่ออกมาจริงๆ
3 คนที่หลุดไปคือ ติอาโก้ ซิลวา, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ส่วน 3 คนที่ได้ลงมาคือ เบอนัวต์ บาเดียชิล, โนนี่ มาดูเอเก้ และ นิโคลัส แจ๊คสัน
คู่เซนเตอร์แบ็ก น่าสนใจว่าเมื่อดร็อป ติอาโก้ ซิลวา จอมเก๋าวัย 39 ที่ดูเชื่องช้าไปเยอะในช่วงหลัง แล้วจะได้ผลอย่างไรกับคู่เซนเตอร์ฝรั่งเศส เบอนัวต์ บาเดียชิล - อักเซล ดิซาซี่ ซึ่งที่จริงก็เคยเป็นพาร์ทเนอร์กันมาก่อนที่ โมนาโก
อย่างที่ว่า นัดนี้ยังมาเหนือคาดก็ตรงที่ โปเช็ตติโน่ เลือกวาง มาดูเอเก้ ลงที่ปีกขวา แล้วให้ แจ๊คสัน ลงที่ริมเส้นซ้าย พร้อมกับ คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ ยืนกลางรุก ซึ่งหมายถึงว่า โคล พาลเมอร์ ต้องขยับขึ้นสูงเป็นหน้าเป้าฟอลส์ไนน์อีกครั้ง
ด้วยไลน์อัพนี้ จึงเท่ากับกระแสข่าวที่ว่า โปเช็ตติโน่ เตรียมผ่าหมากไปใช้ 3 เซนเตอร์แบ็ก ซึ่งอาจเป็น 3-5-2 หรือ 3-4-3 เพื่อแก้ปัญหาฟอร์มการเล่นและการเสียประตูง่าย ไม่เกิดขึ้นจริง หรืออย่างน้อย ก็ยังไม่ใช่ในเกมนี้
สิงห์น้ำเงิน มิติใหม่
ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแท็กติกในแง่ของตำแหน่งการยืน (แม้ระบบจะคงเดิมกับ 4-2-3-1) ทำให้ เชลซี ดูดีขึ้นมากในครึ่งแรกของเกมที่ วิลล่า พาร์ค
อย่างน้อยที่สุดคือ มากจน วิลล่า จับทางไม่ถูก
วิลล่า อาจเริ่มต้นเกมหลังเสียงนกหวีดยาวได้ดีกว่า ยอร์เย่ เปโตรวิช ต้องออกแรงเซฟไว้ก่อน แต่เมื่อ เชลซี โถมเกมเข้าใส่บ้าง ก็ขึ้นนำได้เร็วในนาทีที่ 11 เท่านั้นจากการสังหารของ คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ จังหวะที่ มาดูเอเก้ คืนบอลมาให้ซัดไม่จับ
ความเฉียบคมที่เคยเป็นปัญหาของ เชลซี ยังดูหายไปอย่างน่าประหลาดใจในเกมนี้ กับจังหวะจบถัดๆ มาที่ มาโล กุสโต้ เปิดให้ นิโคลัส แจ๊คสัน ทิ่มโขกตูมเดียวหาย เป็นสกอร์ 2-0 ในนาที 21
มาดูเอเก้ วูบวาบชัดเจนที่ริมเส้นขวา แจ๊คสัน ก็ทำได้เยี่ยมอีกครั้งกับการลงริมเส้นซ้าย หรือเกมรับก็คู่ควรกับเสียงปรบมือทุกคน สำหรับการรับมือ โอลลี่ วัตกิ้นส์, ลีออน ไบลี่ย์, จอห์น แม็คกินน์ หรือคนอื่นๆ ของเจ้าถิ่น ได้อย่างไร้ข้อผิดพลาดสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ปัญหายังอยู่ที่ "หน้าเป้า" เหมือนเคย ว่าการดัน โคล พาลเมอร์ ขึ้นไป ไม่ได้สร้างประโยชน์ กลับกันยังทำให้ พาลเมอร์ หายจากเกม ไม่มีส่วนร่วมเล่นเกมรุก ไม่ได้ปั้นเกมขึ้นด้วยตัวเองเหมือนอย่างที่ได้ทำในฐานะกลางรุก
นี่คือปัญหาที่เชื่อว่า โปเช็ตติโน่ เองก็เห็น และคงต้องตัดสินใจในเกมถัดๆ ไปว่าจะจัดการอย่างไรดี
จบสวย
อาจไม่ถึงกับ "เกมขาด" หลังจากผ่านครึ่งแรกด้วยการขึ้นนำ 2-0 แต่ก็ทำให้ เชลซี เล่นด้วยความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหลังจากฉีกสกอร์แล้วและเข้าสู่ครึ่งหลัง
ประเด็นคือ เกมก็ขาดจริงๆ เสียด้วยเมื่อมาถึงนาที 54 กับฟรีคิกสุดสวยของ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ ที่เล่นงานเพื่อนร่วมทีมชาติอย่าง เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ อย่างหมดจดงดงาม พา เชลซี ทิ้งกระจาย 3-0
3-0 กับวันที่ แอสตัน วิลล่า ไม่ร้อนแรง จุดไม่ติด ไม่อาจผ่านคู่ CB เฟร้นช์แมน อย่าง ดิซาซี่ - บาเดียชิล เข้าไปล่อเป้า เปโตรวิช ได้ ก็จบง่ายๆ และเหนือความคาดหมายไปอย่างนั้น
ประตูตีไข่แตกอาจมีมา จากปีกสำรอง มุสซ่า ดิยาบี้ แต่ก็สายเกินไปแล้วเมื่อเกิดขึ้นตอนทดเจ็บนาทีแรก
เชลซี ชนะเกมนี้อย่างคู่ควร ทำได้ดีในทุกพื้นที่ของสนาม และก้าวข้ามปัญหาเรื้อรังอย่างการ "จบไม่ลง" ที่เคยมีมาได้ อย่างน่าชมเชย
จุดเปลี่ยนซีซั่น...?!?
"เรากำลังหักเลี้ยวไปสู่อีกทิศทาง คุณคงเห็นชัดถึงพัฒนาการของเรา เรามีความกระหายชัยชนะ ยิงประตูได้เยอะ และชนะอย่างมีสไตล์" โนนี่ มาดูเอเก้ ว่าไว้หลัง เกมถลุง มิดเดิ้ลสโบรช์ 6-1 ว่านี่แหละ จุดเปลี่ยนซีซั่นให้ เชลซี เดินหน้ายิงยาวได้ต่อไป
แต่จากนั้นก็อย่างที่เห็นว่า มาดูเอเก้ คิดผิดแบบ "เขินเลย" เมื่อทีมตราสิงห์เตะหลุด 3 เกมซ้อน (เสมอ วิลล่า 0-0, แพ้ ลิเวอร์พูล 1-4, แพ้ วูล์ฟส์ 2-4)
ดังนั้น การคาดหวังว่าชัยชนะนัดนี้ การสยบ แอสตัน วิลล่า ถึงที่อย่างสวยหรู จะเป็น "จุดเปลี่ยน" ที่แท้จริง ก็คงยังเร็วไปที่จะมั่นใจได้แบบนั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สามารถหยิบจับจากเกมนี้ได้ก็คือ ทรงการเล่น, 11 ตัวเลือกแรก และรูปแบบการยืนตำแหน่งที่ต่างไปจากเดิม อย่างที่ร่ายไว้ในหัวข้อข้างต้น
มีความเป็นไปได้สูงที่เมื่อมาดีแบบนี้แล้ว โปเช็ตติโน่ ก็จะยึดทีมเดิมนี่แหละ บุกเตะ คริสตัล พาเลซ มันเดย์ไนท์ จันทร์หน้า 12 ก.พ
ถ้ายังคงความเจ๋งเป้ง บุกคว่ำพาเลซถึงรังได้ รวมถึงเกมถัดไปอีกกับ แมนฯ ซิตี้ (17 ก.พ.) และ ลิเวอร์พูล (นัดชิง คาราบาว คัพ 25 ก.พ.) ก็คงเป็นตัวที่บอกว่า เชลซี เข้ารูปเข้ารอยอย่างที่ควรจะเป็นแล้วจริงๆ
ชัยชนะเกมนี้ ผลตอบแทนคือการไปต่อรอบ 5 เพื่อพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด (28 ก.พ.) และรักษาความหวังในการเป็น "ดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วย" ไว้เท่านั้น คงยังไม่อาจมั่นใจได้ว่านี่คือจุดจั๊มพ์สตาร์ทซีซั่นนี้ของ เชลซี แต่อย่างใด