คริสตัล พาเลซ 1-3 เชลซี : เก็บตกหลังเกม พรีเมียร์ลีก สิงห์น้ำเงิน ตามหลังก่อนแซงเข้าป้ายทดเจ็บ - FEATURE

• มีครึ่งแรกที่ไม่ดี แม้ เชลซี จะครองบอลเหนือกว่า แต่โอกาสยิงตรงกรอบเป็น 0
• กระนั้น เชลซี ยังเร่งเครื่องทันในครึ่งหลัง แซงชนะ 3-1 ในที่สุด
• และเหล่านี้คืออะไรบ้างที่รอ เชลซี อยู่ รวมถึงอะไรเป็นภาพสะท้อนที่เห็นได้จากเกมนี้
Crystal Palace v Chelsea FC - Premier League
Crystal Palace v Chelsea FC - Premier League / Julian Finney/GettyImages
facebooktwitterreddit

รายการ: ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก 2023/24
วันแข่งขัน: วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567
สนาม: เซลเฮิร์สท์ พาร์ค
ผลการแข่งขัน: คริสตัล พาเลซ 1-3 เชลซี


เปลี่ยนตำแหน่งเดียว

อย่างที่ว่าไว้หลังเกมที่แล้ว ชนะ แอสตัน วิลล่า 3-1 ว่าด้วยอะไรๆ ที่ดีอยู่แล้ว เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ก็คงไม่เปลี่ยนทีมโรเตชั่นอะไรอีก ตามประสา "ของไม่เสีย อย่าซ่อม"

ที่ได้กลับมายืนตัวจริง มีแค่ ติอาโก้ ซิลวา จอมเก๋าวัย 39 ได้กลับสู่ไลน์อัพตัวจริงอีกครั้ง แทนที่ เบอนัวต์ บาเดียชิล สำหรับการจับคู่ อักเซล ดิซาซี่

นอกนั้นคงเดิมทั้งหมด โนนี่ มาดูเอเก้ สตาร์ทที่ปีกขวา นิโคลัส แจ๊คสัน ลงที่ริมเส้นซ้าย พร้อมกับ คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ ยืนกลางรุก ซึ่งหมายถึงว่า โคล พาลเมอร์ ต้องขยับขึ้นสูงเป็นหน้าเป้าฟอลส์ไนน์อีกครั้ง

ข่าวดีเล็กๆ เพิ่มเติมคือที่ม้านั่งสำรอง มีชื่อเด็กปั้นคนสำคัญอย่าง ลีวาย โคลวิลล์ กลับมาแล้ว เช่นเดียวกับ เทรโวห์ ชาโลบาห์

ทั้งนี้ โคลวิลล์ เจ็บจากเกมถลุง มิดเดิ้ลสโบรช์ 6-1 จนหายหน้าจากทีมไป 4 นัดก่อนหน้านี้ ขณะที่ ชาโลบาห์ ยังไม่ได้เล่นเลยสักนัดในซีซั่นนี้

FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-CHELSEA
FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-CHELSEA / GLYN KIRK/GettyImages

30-30-40

ไม่ใช่สิบยี่สิบสามสิบสี่สิบ ช่วยผมด้วยผมติดอยู่ในลิฟท์ แต่ 30-30-40 คือผลประเมินก่อนเกม ว่า คริสตัล พาเลซ มีโอกาสชนะเกมนี้ 30% และเสมออีก 30% ส่วน เชลซี เหลื่อมกว่าเล็กๆ ที่ 40%

ปัจจัยสำคัญนอกเหนือจากฟอร์มของ เชลซี นัดก่อนแล้ว คงอยู่ที่เรื่องว่า รอย ฮ็อดจ์สัน กำลังเจอวิกฤตตัวเจ็บหนักหนาทีเดียว ทั้งเกมรุก หายหมดทั้ง ไมเคิ่ล โอลิเซ่ กับ เอเบเรชี่ เอเซ่, ตรงกลางไม่มี ชีค ดูคูเร่ และหลังบ้านก็ไม่มี มาร์ก เกฮี พร้อมทั้ง ร็อบ โฮลดิ้ง

อย่างไรก็ตาม ภาพที่เกิดขึ้นจริงในครึ่งแรก ณ เซลเฮิร์สท์ พาร์ค ก็ทำให้ เชลซี ต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ พลางปาดเหงื่อเม็ดเป้งออกจากใบหน้า

FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-CHELSEA
FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-CHELSEA / GLYN KIRK/GettyImages

ครองบอลไปไหน

ครึ่งแรก เชลซี ครองบอลเหนือกว่าตั้งแต่ต้นยันจบ หลายๆ นาทีตีค่าออกมาได้ที่ 80:20% ก่อนจะหมด 45 นาทีแรกไปที่ 79:21

กระนั้น ก็เข้าข่าย "ดีแต่ป้อฯ" เมื่อแม้ว่าจะครองบอลเหนือกว่า แต่โอกาสจบไม่มีมาเลย เกมรุกสิงห์ทำอะไรไม่ได้เลย กว่าที่จะมีลุ้นหนแรกก็ปาไปนาทีท้าย จังหวะยิงของ คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ ที่ไม่ตรงกรอบ

สำคัญคือ นั่นยังเกิดขึ้นภายหลังความผิดพลาดในการเคาะบอลกันของ โนนี่ มาดูเอเก้ - มอยเซส ไคเซโด้ จนโดนขโมยบอลไปซัดตูมเสียบตาข่ายของ เจฟเฟอร์สัน เลอร์มา น.30

และมันทำให้กลายเป็นภาพแปลกๆ ของครึ่งแรก ว่าแม้ เชลซี จะครองบอลเหนือกว่ามาก แต่ก็ต้องตามหลัง 0-1 โดยที่ พาเลซ มีโอกาสจบ 6 ครั้ง ตรงกรอบ 3 ส่วน เชลซี ได้ลุ้นหนเดียว และไม่ตรงกรอบด้วย

Jefferson Lerma
Crystal Palace v Chelsea FC - Premier League / Julian Finney/GettyImages

23 วินาที

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเพียง 23 วินาทีแรกเมื่อครึ่งหลังเริ่มต้นเขี่ยบอลเล่นกันใหม่

มาโล กุสโต้ เติมเกมขึ้นสุดเส้นหลังขวาแล้วครอสเข้าใน คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ วอลเลย์แปกระแทกผ่านมือ ดีน เฮนเดอร์สัน เข้าไปไม่เหลือ

สกอร์ 1-1 ที่เกิดขึ้นในเพียงนาทีแรกของครึ่งหลัง ทำให้ เชลซี เรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้ เล่นไปเล่นมาก็ล็อกกลอนปิดประตูแพ้

แล้วในที่สุดก็มาแซงเข้าป้าย 3-1 จากการเบิ้ลเม็ดสองของ กัลลาเกอร์ 90+1 และ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ สังหารปิดกล่องย้ำชัย 3-1 ซึ่งทั้งสองลูกมาจากปั้นบอลแอสซิสต์ของ โคล พาลเมอร์

Conor Gallagher, Nicolas Jackson
Crystal Palace v Chelsea FC - Premier League / Mike Hewitt/GettyImages

สิงห์กับอินทรี

2017/18 คือหนสุดท้ายที่ พาเลซ กำชัยเหนือ เชลซี ได้

ถัดจากนั้นมาอีก 12 เกม พรีเมียร์ลีก กับอีก 1 นัด เอฟเอ คัพ ตั้งแต่ 2018 จนวันนี้ 2024 ล้วนแต่เป็น เชลซี รับกิน 100%

ก็ทั้งจากสถิติเก่าเก็บ ทั้งจากภาพของเกมนี้ ที่ เชลซี ใช้เวลาแค่ครึ่งหลังครึ่งเดียวเพื่อเข้าป้ายกำชัย

ล้วนแต่เป็นจุดที่บอกว่า ไม่ว่าเวลาไหน สะดวกอร่อยได้ทุกที่... เชลซี พร้อมเจอ พาเลซ ในทุก 3 วัน 7 วัน

Conor Gallagher
Crystal Palace v Chelsea FC - Premier League / Julian Finney/GettyImages

ลุ้นท็อป 7

แม้แน่นอนว่า เชลซี ก็ยังจะเป็นทีมที่ "เหนือการคาดเดา" จับทางได้ยาก ไม่รู้วันไหนจะชนะจะแพ้ขึ้นมาบ้าง และไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าเด็กๆ ของพอช จะติดเครื่องโกยแต้มเป็นกอบเป็นกำหลังจากนี้

แต่อย่างน้อย เชลซี ก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางได้มากขึ้นแล้วสำหรับ "เกมเยือน" ที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้ใน พรีเมียร์ลีก มาถึง 4 เกมซ้อน (1-4 นิวคาสเซิ่ล, 1-2 แมนยู, 0-2 เอฟเวอร์ตัน, 1-2 วูล์ฟส์) แต่ก็กลับมาชนะ 2 จาก 3 เกมหลัง (3-2 ลูตัน, 1-4 ลิเวอร์พูล, 3-1 พาเลซ)

และสิ่งที่ตามมาจาก 3 แต้มเต็มนัดนี้ คือการรั้งอันดับ 10 หลังจากผ่าน 24 เกม -- มี 34 แต้มในมือ ซึ่งตามหลังทีมใน "ท็อป 7" แค่ 2 แต้มเท่านั้นเอง

  • 36 แต้ม : นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด

    36 แต้ม : เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

    35 แต้ม : ไบรท์ตัน & โฮฟ อัลเบี้ยน

    34 แต้ม : เชลซี

เพราะฉะนั้น ควรต้องถือว่า เชลซี มีลุ้นจบอันดับ 7 เต็มตัว...แม้อาจต้องรอดูกันต่ออีกหน่อยว่าจะเป็นฝันลมๆ แล้งๆ รึเปล่า ก็ตาม

Enzo Fernandez
Crystal Palace v Chelsea FC - Premier League / Julian Finney/GettyImages

โปเช็ตติโน่ ก็ดื้อเหมือนกันนะ

อย่างไรก็ตาม ในชัยชนะสวยๆ ของวันนี้ ภาพที่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็ยังคงเป็น "รอยตำหนิ" ของระบบการเล่น 4-2-3-1 ที่ใช้ โคล "น้องไม่ถนัดหน้าเป้า" พาลเมอร์ ไปยืนฟอลส์ไนน์อีกครั้ง

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า โปเช็ตติโน่ จะดื้อดึง ดึงดัน พยายามเอาชนะตัวเองไปถึงไหน เมื่อผลลัพธ์กี่เกมต่อกี่เกมก็ลงเอยเหมือนกันหมดคือ "ไม่เวิร์ค"

ครั้นเมื่อถอยลงต่ำ ตามตำแหน่งถนัดในครึ่งหลังเกมนี้ สิ่งที่เจ้าหนูวัย 21 จัดให้ก็คือ "2 แอสซิสต์" ทั้งลูก 2-1 ของ กัลลาเกอร์ 90+1 และ 3-1 ของ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ 90+4

ที่จริง เลิกดื้อเลิกฝืน ถอย พาลเมอร์ ลงมาสู่ที่ชอบๆ กับกลางรุกฝั่งขวา แล้วหาใครสักคนลงหน้าเป้าแทนไป (ที่ไม่ใช่ นิโคลัส แจ๊คสัน) เรื่องแค่นี้ ไม่น่ายาก

เพราะระดับ แมนฯ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล ที่รออยู่ใน 2 นัดถัดไป (17 ก.พ. เกมลีก, 25 ก.พ. ชิง คาราบาว คัพ) เกิดถ้าปล่อยให้คู่นี้ได้เป็นฝ่ายขึ้นนำ 1-0 แล้ว เชลซี ก็อย่าหวังว่าจะกลับมารัวแซง 3 เม็ดได้เหมือนวันนี้

FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-CHELSEA
FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-CHELSEA / GLYN KIRK/GettyImages