เดนมาร์ก 1-1 อังกฤษ : เก็บตกหลังเกม ยูโร 2024 นัดแบ่งกันฝั่งละแต้ม ลุ้นชี้ชะตานัดปิดกลุ่ม - FEATURE
• เดนมาร์ก แชร์แต้มกับ อังกฤษ ด้วยผลเสมอ 1-1
• และนี่คือหลายๆ สิ่งที่พอมองเห็นได้จากเกม ยูโร 2024 แมตช์นี้
รายการ: ฟุตบอล ยูโร 2024 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มซี
วันแข่งขัน: วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน 2567
สนาม: วัลด์สตาดิโอน, แฟร้งค์เฟิร์ต
ผลการแข่งขัน : เดนมาร์ก 1-1 อังกฤษ
แผลยังไม่จาง
แม้อันที่จริง มันก็ผ่านมาได้พักใหญ่แล้ว แต่การตกรอบอย่างเจ็บแสบของเมื่อ 3 ปีก่อน ยังเจ็บลึกบาดแผล รักมันบั่นทอน ความรักไม่แน่นอน ในหัวใจกองเชียร์โคนมอยู่เลย
เพราะ เดนมาร์ก อุตส่าห์ฟื้นคืนจากความเป็นความตาย การสูญเสียเพลย์เมกเกอร์เบอร์ 1 คริสเตียน เอริคเซ่น ไปตั้งแต่เกมแรกของ ยูโร 2020 และเข้ารอบน็อกเอาต์มาได้อย่างเลือดตาแทบกระเด็น แต่ปรากฏว่าถึงน็อกเอาต์แล้วก็กลับก้าวได้ยาวๆ
ที่สุดแล้วถูกขัดขวางไว้เพียงเพราะจุดโทษปัญหา การฉกฉวยโอกาสพุ่งล้มเอาจุดโทษของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง
ที่เจ็บปวดเป็นพิเศษ เพราะว่านาทีนั้น ชั่วโมงนั้น เดนมาร์ก เหลือแค่อีกก้าวเดียวจะไปถึงชิงชนะเลิศ--หนแรกถัดจากแชมป์ ยูโร 1992 และใครจะรู้ จับพลัดจับผลูก็อาจชนะนัดชิงขึ้นมาก็ได้ แม้อาจต้องอาศัยโชคอาศัยดวงมากหน่อยก็เถอะ
ร้ายที่สุดคือ เมื่อผ่านจากวันนั้นแล้ว มันอาจไม่เกิดขึ้นอีกเลยก็เป็นได้
ถัดจากนั้น เดนมาร์ก กับ อังกฤษ ยังไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก
เมื่อโคจรมาจ๊ะเอ๋กันในเกมที่ 2 ของรอบแบ่งกลุ่ม ยูโร 2024 เที่ยวนี้ เดนมาร์ก จึงมาพร้อมไฟแค้นที่สุมอยู่กลางอก แม้ภาพความเป็นมิตรของกองเชียร์โคนม จะทำให้กระแสของเกมนี้เป็นไปอย่างฉันท์มิตรก็เถอะ
22 เปลี่ยน 1
ถือว่าผิดไปจากคาดพอสมควร กับ 11 คนแรกที่ทั้ง แคสเปอร์ ฮูลมันด์ และ แกเร็ธ เซาธ์เกต เผยมาสำหรับเกมที่ วัลด์สตาดิโอน เมืองแฟร้งค์เฟิร์ต
11 คนแรกของ เดนมาร์ก เปลี่ยนเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ โยอาคิม เมห์เล่ วิงแบ็กสารพัดประโยชน์จาก โวล์ฟบวร์ก ลงไปยืนฝั่งขวาแทน อเล็กซานเดอร์ บาห์
แต่แม้จะเปลี่ยนแค่คนเดียว แคสเปอร์ ฮูลมันด์ ก็ถือโอกาสปรับระบบเล็กๆ ในแนวรุก ด้วยหมาก 3-4-2-1 ถอย โยนาส วินด์ ลงมาเป็นหน้าต่ำ (ข้าง คริสเตียน เอริคเซ่น) เพื่อประโยชน์ในการวิ่งไล่เพรสซิ่ง ทิ้ง ราสมุส ฮอยลุนด์ ค้ำแดนบนไว้ตัวเดียว
ฝั่ง เซาธ์เกต ไม่ปรับเปลี่ยน ไม่ใส่ใจต่อคำครหา ไม่สนใจข้อทักท้วงติติงใดใดทั้งสิ้น
11 คนแรกของ สิงโตคำราม ยังคงเดิม
คีแรน ทริปเปียร์ ออกสตาร์ทแบ็กซ้ายตามเดิม
เทรนท์-อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ยืนตำแหน่งกลางรับตามเดิม
ฟิล โฟเด้น ก็ลงที่ริมเส้นซ้ายตามเดิม เพื่อประสานงานกับ บูกาโย่ ซาก้า และ แฮร์รี่ เคน
ในการจับไม้จับมือทักทายกันของกุนซือสองฝั่งก่อนคิกออฟ
ลองเงี่ยหูฟังดีๆ อาจได้ยินคำว่า "ขอบคุณจ่ะพี่" จากปาก ฮูลมันด์ ที่มีต่อความไม่สนโลกของ เซาธ์เกต
เกมแห่งความผิดพลาด
ลืมไปก่อนกับฟุตบอลคุณภาพ การเปิดหน้าแลกกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง
แม้เกมนี้จะ "บันเทิง" สำหรับแฟนๆ ก็จริง แต่มันมาพร้อมข้อผิดพลาดที่แต่ละฝ่ายต่างก็งัดมาโชว์
ประตูแรกที่เกิดขึ้นเร็วในนาทีที่ 18 เกิดจากความผิดพลาดของ วิกเตอร์ คริสเตียนเซ่น วิงแบ็กซ้าย ดาวรุ่งวัยเพียง 21 ที่มัวทะเล่อทะล่าไม่ทันระวัง (และเพื่อนก็ไม่ตะโกนบอก) จนโดน ไคล์ วอล์คเกอร์ วิ่งแซงฉกบอลเข้าเขตโทษ ก่อนจบที่ แฮร์รี่ เคน แปเน้นๆ เข้าไปไม่เหลือ
หรือประตูตีเสมอ 1-1 ของ เดนมาร์ก ในนาที 34 แม้ส่วนหนึ่งและส่วนใหญ่ต้องชมเชยลูกยิงคุณภาพของ มอร์เทน ฮูลมันด์ แต่แง่หนึ่งก็เป็นความผิดพลาดของมิดฟิลด์เกมรับของ อังกฤษ ที่ไม่ได้ถอยมาปิดบังทางยิงเลย คนที่เข้าใกล้ตัว ฮูลมันด์ ที่สุด กลายเป็นปีกอย่าง ซาก้า เสียอย่างนั้น
นอกเหนือจากสองประตูที่เกิดขึ้น มันก็มาเรื่อยๆ ทั้ง
- จังหวะจบที่วืดวาด
การจ่ายบอลไม่ตรง
โยนไม่เข้าเป้า
เสียบอลกันไปเอง
เซ็ตเกมขึ้นหน้าไม่ได้
ฯลฯ และ ฯลฯ ที่ล้วนแต่เข้าข่ายข้อผิดพลาด
เดนมาร์ก ยังคง 'ไม่เนี้ยบ'
อย่างที่ว่าไว้วันก่อน หลังเกมที่ เดนมาร์ก เสมอ สโลวีเนีย 1-1 ว่าความ "ไม่เนี้ยบ" ไม่สมบูรณ์แบบในการเล่น ทั้งรุกทั้งรับของพวกเขา อาจเป็นจุดที่ฉุดรั้งไม่ให้ไปได้ถึงไหน
วันนี้ ความไม่เนี้ยบในหลายๆ ส่วนก็ยังแจ่มชัด
แน่นอน ต้องเริ่มต้นที่ความผิดพลาดส่วนบุคคลของ วิกเตอร์ คริสเตียนเซ่น ซึ่งยังอ่อนประสบการณ์ในระดับนานาชาติ (เล่นทีมชาตินัดนี้เกมที่ 10)
เกมรับ อาจตั้งโซนกันได้ดี และเอาตัวรอดเก็บแต้มมาได้ แต่ในระหว่างเกมก็มีช็อต "เตะหลุด" อยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะลูกที่โดน ซาก้า โฉบมาโหม่งตัดหน้า แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ออกข้างเสา หรือที่ตามความเร็วและการหาที่ว่างของ โอลลี่ วัตกิ้นส์ ไม่ทันจนต้องพึ่งซูเปอร์เซฟ ชไมเคิ่ล ท้ายเกม
หรือเกมรุก วันนี้ทั้ง ฮอยลุนด์ และ โยนาส วินด์ ต่างก็กระดิกไม่ออก คนที่ได้โอกาสยิงมากสุดกลายเป็นตัวเติมแถวสองอย่าง ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก (แมนออฟเดอะแมตช์) ที่ได้ซัดทั้งสิ้น 5 ครั้ง
แต่ว่าก็ว่า ถ้าจะเพิ่มอัตราความเฉียบคมขึ้นสักหน่อย โอกาสจบ 5 หนนั่น ก็น่าจะมีได้สัก 1 ประตู
แต่อย่างไรก็ตาม 1 แต้มที่ได้จากเกมนี้ ก็ถือเป็นอะไรที่ "ยอมรับได้"
แม้อาจเสียดายเล็กๆ ที่เมื่อโอกาสเปิดกว้างแล้ว เอาชนะไม่สำเร็จ ก็ตาม
อังกฤษ ได้แค่นี้ ไม่มีทางถึงแชมป์
ส่วนทาง อังกฤษ จบเกมลงพร้อมเสียงสวดภาณยักษ์ ทั้งจากไทยแลนด์, อิงแลนด์ และทุกหน้าสื่อทั่วโลก
ว่าเล่นได้แค่นี้ ดีแค่ไหนที่ไม่แพ้
และเล่นได้แค่นี้ ไม่มีทางเป็นแชมป์ ยูโร 2024 ได้เด็ดขาด
นายประตู : จอร์แดน พิคฟอร์ด เหนียวดีมีมาตรฐาน แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่ระดับสุดยอดชนิดยิงยังไงก็ไม่เข้า
กองหลัง : คีแรน ทริปเปียร์ ดูยังเรียกความมั่นใจกลับมาไม่ค่อยได้ จากช่วงแกว่งจัดๆ กับ นิวคาสเซิ่ล ระหว่างซีซั่นที่ผ่านมา, มาร์ก เกฮี ยังต้อง "เก็บเลเวล" เกมระดับนานาชาติ อีกเยอะ เมื่อวานนี้ค่อนข้างสั่นไหว มีข้อผิดพลาดส่วนบุคคลให้เห็น, จอห์น สโตนส์ ถือว่าเกมนี้ไม่แย่ แต่ก็ไม่โดดเด่น จะมีก็ ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่เล่นดี คู่ควรกับคำคม โดยเฉพาะการเติมเกมริมเส้นที่่ทำได้อันตราย
กองกลาง : เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยังคง "ไม่ตอบโจทย์" สิ่งที่ เซาธ์เกต คาดหวังไว้ (ซึ่งคืออะไรแน่ ก็ไม่แน่ใจ) การเป็นแบ็กขวาธรรมชาติที่ "จ่ายบอลดี" และเล่น "ลูกตั้งเตะดี" ไม่ได้หมายความว่าจะยืนกลางรับได้ดีไปด้วย แม้ว่าการเล่นแบบ Inverted Full-back จะเวิร์คกับ ลิเวอร์พูล ก็ตาม, ดีแคลน ไรซ์ เตะหลุดมากกับเกมนี้ เมื่อไม่มีตัวช่วยเคียงข้าง ก็เล่นออกทะเลไปเลย เสียบอลง่าย พลาดเป็นระยะ
ตัวรุก : จู๊ด เบลลิงแฮม เกมนี้ต่างไปจาก เบลลิงแฮม ตัวโหดที่เราเห็นกับ เรอัล มาดริด เมื่อบอลมาไม่ถึง ต้องพยายามถอยต่ำลงไปช่วย และดูจะเล่นยากไปนิดในหลายจังหวะ, ฟิล โฟเด้น ก็คล้ายกัน ด้วยระบบทำให้ "ไม่เฉิดฉาย" ทั้งยังจบแทบไม่เข้าเป้าเลยจาก 4 โอกาสที่มี, บูกาโย่ ซาก้า ไม่อาจใช้ความเร็วที่เป็นจุดเด่น โจมตีได้เท่าที่ควร และบางจังหวะก็ดูจะเล่นทื่อ ซื่อตรงเกินไป
กองหน้า : แฮร์รี่ เคน หลังจากยิงได้แล้วต้องถือว่า "เล่นไม่ดี" ไม่อาจประสานงานกับเพื่อนได้เหมือนที่เคย รวมถึงมีต้องถอยลงไปล้วงบอลเองเป็นระยะ ซึ่งก็ทำให้หลุดตำแหน่งตามไปด้วย และกลายเป็นว่าเมื่อ โอลลี่ วัตกิ้นส์ ลงไปแทน (น.70) เกมรุกอังกฤษก็ค่อยดูวูบวาบขึ้นตอนนั้น
เกมแรก กว่าจะปิดเกมสยบ เซอร์เบีย ลงได้ ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด
เกมสอง อย่าว่าแต่จะชนะ รอดมาได้พร้อมผลเสมอ ก็ถือว่าดีเท่าไหร่แล้ว
ทรงนี้ มองมุมไหนก็ไม่ใช่ตัวเก็งเต็งแชมป์ และดูไม่น่าผ่าน เยอรมนี หรือ สเปน หรือ โปรตุเกส ได้เลยถ้าต้องเจอกันในรอบใดรอบหนึ่ง
ตัวแทน แคลวิน ฟิลลิปส์
ยิ่งฟังก็ยิ่งขำ กับข้อแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ของ เซาธ์เกต ที่บอกหลังเกมว่า
1) เขากำลังทำการ "ทดลอง" ทีมและแท็กติกบางอย่างอยู่
กับ 2) ยังค้นหาตัวแทนของ แคลวิน "เดอะลูกรัก" ฟิลลิปส์ ไม่ได้
เพราะกับข้อ 1 ต้องย้อนถามว่า พี่มาทดลองอะไรเอาป่านนี้ ทำไมไม่ทำให้เสร็จเรียบร้อยในระหว่างอุ่นเครื่องเตรียมทีม ที่มีให้เล่น 4-5 นัดก่อน ยูโร 2024 มาถึง
ส่วนข้อ 2 ไม่น่าเชื่อว่า เซาธ์เกต จะอ้างข้อนี้ เมื่อที่จริง กลางรับดีๆ ก็มีให้หยิบจับอยู่ ทั้งในทีมชุดนี้และที่ไม่เรียกมาติดธง
อีกทั้งเมื่อเห็นว่า เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่เวิร์ค คุณพี่เซาธ์เกตก็ดันเลือกจะไว้ใจในมิดฟิลด์คุณภาพพื้นๆ ไม่เด่นทางไหนสักทาง (นอกจากวิ่งขึ้นวิ่งลง) อย่าง คอเนอร์ กัลลาเกอร์ เสียอีก
- ค็อบบี้ ไมนู ที่แจ้งเกิดกับ แมนฯ ยูไนเต็ด
อดัม วอร์ตัน ดาวรุ่งรสชาติใหม่จาก คริสตัล พาเลซ
โคล พาลเมอร์ ดาวรุ่งแห่งปี พรีเมียร์ลีก
นั่งเกาขาเกาแข้งไปเถอะ เกมหน้าค่อยว่ากัน!
กลุ่มซี ยืดเยื้อกว่าที่คิด
เมื่อบทสรุปออกหน้านี้ -- เดนมาร์ก 1-1 อังกฤษ และ สโลวีเนีย 1-1 เซอร์เบีย
กลุ่มซี จึงยืดเยื้อกว่าที่คิด ต้องตัดสินและจับตาดูกันแบบตาไม่กะพริบ ในเกมนัดสุดท้าย อังคารหน้า 25 มิ.ย.
- อังกฤษ vs สโลวีเนีย
เดนมาร์ก vs เซอร์เบีย
เวลานี้ อังกฤษ มีในกระเป๋าแล้ว 4 แต้ม ดังนั้นนัดสุดท้าย ขอเสมอก็เพียงพอ แต่ถ้าชนะก็แชมป์กลุ่ม
สโลวีเนีย (2 แต้ม) ถ้าเสมอ ต้องลุ้นว่าจะเป็นอันดับ 2 หรือ 3 และสมมุติถ้าเป็นที่ 3 จะเป็นหนึ่งใน 4 อันดับสามที่ดีที่สุด หรือไม่อย่างไร
ส่วนคู่ เดนมาร์ก vs เซอร์เบีย เงื่อนไขง่ายกว่า คือ "ใครชนะ เข้ารอบ"
หรือสมมุติออกเสมอ เซอร์เบีย (1 แต้ม) น่าจะไปไม่รอด แต่สำหรับ เดนมาร์ก (2 แต้ม) ทางออกจะคล้ายกับ สโลวีเนีย คือต้องลุ้นว่าจะเป็นอันดับ 2 หรือ 3 ของกลุ่ม และสมมุติถ้าเป็นที่ 3 จะเป็นหนึ่งใน 4 อันดับสามที่ดีที่สุด หรือไม่อย่างไร
แต่ก็อีกนั่นแหละ... คิดมากไปปวดหัว
จับตาดูบทสรุป ตีสอง อังคารหน้า รู้กัน!