สเปน 2-1 อังกฤษ : เก็บตกหลังเกม ยูโร 2024 ทัพ กระทิงดุ เฉือนชนะเข้าเส้นชัยทำ อังกฤษ อกหักสองสมัยซ้อน - FEATURE
- ทีมชาติ สเปน คว้าแชมป์ ยูโร สมัยที่ 4 ได้สำเร็จหลังเอาชนะ อังกฤษ ในนัดชิงฯ ยูโร 2024
- ลามีน ยามาล คว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์
- ทีมชาติ อังกฤษ ยังคงต้องรอคอยความสำเร็จต่อไปจนถึงปีที่ 60
รายการ | ฟุตบอล ยูโร 2024 รอบชิงชนะเลิศ |
---|---|
วันแข่งขัน | คืนวันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม 2567 |
สนาม | โอลิมเปีย สตาดิโอน |
ผลการแข่งขัน | สเปน 2-1 อังกฤษ |
สองเพชรเม็ดงามแห่งแดน กระทิงดุ
ฟุตบอล ยูโร 2024 จบลงด้วยชัยชนะของทีมชาติ สเปน เหนือ อังกฤษ ซึ่งแม้โทรฟี่จ้าว ยุโรป จะมีค่าไม่แพ้ถ้วยไหนในโลก แต่สิ่งที่ สเปน ประสบความสำเร็จไม่แพ้กันคือการเอาเพชรเม็ดงามอย่าง นิโก้ วิลเลี่ยมส์ และ ลามีน ยามาล ออกมาฉายแสงในทัวร์นาเม้นต์นี้ได้สำเร็จ จนทั้งสองคนกลายเป็นกำลังหลักพาทีมคว้าแชมป์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และมีแววว่าจะได้ไปต่ออีกยาว ๆ ในอีกหลายการแข่งขัน
นิโก้ วิลเลี่ยมส์ ในวัย 22 กะรัต โชว์สเต็ปเท้าไฟได้ไม่แพ้รุ่นพี่คนอื่น ๆ ในทีมชาติ โดยเจ้าตัวลงเล่นเกือบทุกเกมในทัวร์นาเม้นต์ ทำผลงานไปได้ 2 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ ในฐานะกองหน้าตัวริมเส้นฝั่งซ้าย โดยประตูสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นลูกยิงขึ้นนำ อังกฤษ ในนัดชิงชนะเลิศที่ต้องบอกว่าจบสกอร์ได้ร้ายกาจเป็นที่สุด
ทางด้านเจ้าหนู ลามีน ยามาล ในวัย 17 ปี ก็เล่นได้ดีไม่แพ้กัน โดยตลอดทั้งทัวร์นาเม้นต์ ยามาล ใช้ความสามารถเฉพาะตัวปั่นหัวคู่แข่งจนไปกันไม่เป็น รวมถึงประตูสุดสวยในเกมรอบรองชนะเลิศกับ ฝรั่งเศส ก็ทำให้ ยามาล กลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ยูโร ที่ยิงประตูได้ เจ้าหนูจาก ลา มาเซีย จบทัวร์นาเม้นต์ไปด้วยผลงาน 1 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ พ่วงรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันไปครองอย่างสมศักดิ์ศรี
ซุปเปอร์ซัพ พลิกเกม
ในแมตช์ฟุตบอลที่มีการเดิมพันสูงเสียดฟ้า หลายครั้งผลการแข่งขันก็ถูกตัดสินด้วยผู้เล่นตัวสำรอง ซึ่งในวันนี้ก็เช่นกัน ทีมชาติ อังกฤษ ตัดสินใจส่ง โคล พาลเมอร์ ลงมาในนาทีที่ 70 เพื่อหวังจะให้ดาวเตะจาก เชลซี ลงมาช่วยพลิกเกมหลังพวกเขาตามหลัง สเปน ตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง และ พาลเมอร์ ก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง ดาวเตะวัย 22 ปีใช้เวลาเพียง 3 นาทีในการวิ่งมาหวดบอลจากนอกกรอบเขตโทษเสียบมุมประตูเข้าไปเป็นลูกตีเสมอ จุดประกายความหวังให้ทีม สิงโตคำราม กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แต่ในเมื่อ อังกฤษ ทำได้ ทำไมทีมคุณภาพสูงแบบ สเปน จะทำบ้างไม่ได้ล่ะ ? ต้องชื่นชมความเก๋าเกมของกุนซืออย่าง หลุยส์ เด ลา ฟูเอ็นเต ที่เลือกส่ง มิเกล โอยาร์ซาบัล ลงมาแทน อัลบาโร่ โมราต้า ที่ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกมสักเท่าไร และเพียงไม่กี่อึดใจหลัง โคล พาลเมอร์ พา อังกฤษ กลับมาอยู่ในเกม ซุปเปอร์ซัพ อย่าง โอยาร์ซาบัล ก็พาทีม กระทิงดุ กลับมาแซงนำอีกครั้งจากบอลถวายพานของ มาร์ค คูคูเรญ่า ซึ่งต้องบอกว่าเฉียดเส้นล้ำหน้าไปเพียงปลายเล็บเท่านั้น และประตูดังกล่าวก็มีค่าเพียงพอจะทำให้ สเปน เถลิงบัลลังค์แชมป์ได้อีกหนึ่งครั้ง
อังกฤษ ยังต้องรอต่อไป..
เข้าสู่ปีที่ 58 อย่างเป็นทางการที่พลพรรคทีมชาติ อังกฤษ คว้าน้ำเหลวกลับบ้านในฟุตบอลรายการใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่าในช่วงหลายขวบปีที่ผ่านมาตั้งแต่ฟุตบอล ยูโร 2020, ฟุตบอลโลก 2022, จนมาถึงฟุตบอล ยูโร 2024 ทีมชาติ อังกฤษ เข้าใกล้คำว่าแชมป์ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เคยได้สัมผัสเกียรติยศของผู้ชนะเลยสักครั้ง และถ้าว่ากันตามตรงพวกเขาจะต้องร้างถ้วยรางวัลไปจนถึงปีที่ 60 เมื่อโอกาสคว้าแชมป์ครั้งต่อไปยาวนานถึง ฟุตบอลโลก 2026
สิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมพลพรรคทีมชาติ อังกฤษ ชุดนี้คือหัวจิตหัวใจของของผู้เล่นในทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะพลังหนุ่มมากมาย พวกเขาพบกับความเจ็บปวดในสองทัวร์นาเม้นต์ที่ผ่านมา แต่กลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมในฟุตบอล ยูโร ครั้งนี้ รวมถึงในหลาย ๆ แมตช์แม้พวกเขาจะไม่ได้เล่นได้ดีตามความคาดหวัง มีสไตล์การเล่นน่าเบื่อแทบทุกนัด แต่ในช่วงเวลาคาบลูกคาบดอก พลพรรค สิงโตคำราม ก็คว้าโอกาสกลับมาพลิกเกมได้เสมอ สิ่งเหล่านี้นับเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ใช้งานไปได้อีกหลายปี หากคราวหน้าพวกเขามีแม่ทัพที่มากฝีมือกว่านี้ อาจจะพบเจอกับชัยชนะก็เป็นได้
ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง กับ รางวัลดาวซัลโวที่ไม่น่าจดจำ
คงไม่มีใครเหมาะกับฉายา "ราชันไร้บัลลังค์" ไปมากกว่าดาวเตะดวงอาภัพอย่าง แฮร์รี่ เคน อีกแล้ว เพราะตลอดช่วงเวลาที่เขาค้าแข้งจนถึงอายุ 30 ปี เคน ยังไม่เคยได้สัมผัสถ้วยแชมป์เลยสักครั้งในชีวิต แม้เจ้าตัวจะกวาดรางวัลดาวซัลโวมานับครั้งไม่ถ้วน พร้อมดีกรีหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของยุค แต่ในฟุตบอลนัดสำคัญ แฮร์รี่ เคน กลับเป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้เสียอย่างนั้น เช่นเดียวกับในนัดชิงฯ ยูโร 2024 ที่ศูนย์หน้ารายนี้ไม่อาจสร้างความอันตรายให้แนวรับคู่แข่งได้เลย
ความผิดหวังของ แฮร์รี่ เคน ในนัดชิงชนะเลิศ
- แพ้ เชลซี 0-2 นัดชิงฯ คาราบาว คัพ ปี 2015
- แพ้ ลิเวอร์พูล 0-2 นัดชิงฯ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2019
- แพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-1 นัดชิงฯ คาราบาว คัพ ปี 2021
- แพ้จุดโทษ อิตาลี 2-3 นัดชิงฯ ยูโร 2020
- แพ้ สเปน 1-2 นัดชิงฯ ยูโร 2024
ถึงจะพบกับความผิดหวัง แต่ แฮร์รี่ เคน ก็ยังได้รางวัลปลอบใจเป็น "ดาวซัลโวร่วม" ซึ่งเป็นรางวัลที่เขาคงไม่ภาคภูมิใจสักเท่าไร เพราะด้วยเกณฑ์การตัดสินแบบใหม่ของ ยูฟ่า ที่ตัดสินรองเท้าทองคำจากจำนวนประตูเพียงอย่างเดียว ทำให้มีนักเตะอีก 5 รายคือ ดานี่ โอลโม่, โคดี้ กักโป, จอร์จ มิเคาตาดเซ, จามาล มูเซียล่า, และ อีวาน ชรานซ์ คว้ารางวัลดังกล่าวร่วมกับเขา และยังนับเป็นดาวซัลโวที่ทำประตูน้อยที่สุดตั้งแต่ศึกฟุตบอล ยูโร 2012 อีกด้วย (3 ประตู)
ถึงคราว เซาธ์เกต ต้องพิจารณาตัวเองหรือยัง ?
การตบเท้าเข้ามาใน ยูโร 2024 ภายใต้ฐานะทีมเต็งหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่อยู่ ๆ สื่อหลายสำนักจะฟันธงกันมั่วซั่ว แต่เมื่อพิจารณาขุมกำลังทั้งหมดที่ทีมชาติ อังกฤษ มี บวกกับประสบการณ์อันเจนจัดของเหล่าผู้เล่นซีเนียร์ในทีม พวกเขาสมควรถูกยกเป็นตัวเต็งทุกประการ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ทัวร์นาเม้นต์เริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุด ยังไม่มีนัดไหนที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต สั่งการลูกทีมให้เล่นออกมาได้สมฐานะเลยสักครั้ง โดยเฉพาะในเกมรอบแบ่งกลุ่มสามนัดที่แทบจะไม่มีทรงเก่งเลยทีเดียว
จริงอยู่ที่ เซาธ์เกต พาทีมชาติ อังกฤษ มาไกลได้ในหลายทัวร์นาเม้นต์ เขาพาทีมเข้าใกล้คำว่าชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งนับว่าเป็นผลงานดีที่สุดตั้งแต่ เซอร์ อัลฟ์ แรมซี พาทีม สิงโตคำราม คว้าแชมป์โลก เมื่อปี 1966 แต่อย่างที่เขาว่ากันว่า "ไม่มีใครจดจำที่สอง" หรือ "มีแต่ผู้ชนะเท่านั้นที่จะอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์" การเข้าใกล้คำว่าแชมป์แต่ไม่ถึงแชมป์ก็ไม่ได้มีความหมายใดไปมากกว่าการทำให้แฟนบอล อังกฤษ หลงดีใจแล้วจบลงด้วยความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมสไตล์การเล่นก็ไม่ได้เป็นที่น่าชื่นชมเสียด้วยซ้ำ
แม้ล่าสุด สมาคมฟุตบอลอังกฤษ จะออกมาแถลงการณ์ให้ความเชื่อใจ แกเร็ธ เซาธ์เกต อยู่คุมทีมไปจนถึง ฟุตบอลโลก 2026 แต่บางทีอาจถึงเวลาที่กุนซือวัย 53 ปีต้องพิจารณาตนเองได้แล้วว่าเขาเหมาะจะกุมบังเหียนทีมชุดนี้ต่อไป หรือปล่อยให้กุนซือหน้าใหม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงเสียที