ปารีสฯ 1-1 นิวคาสเซิ่ล : ประเด็นหลังเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดลุ้นขาดใจ เปแอสเช ตีเจ๊า 90+8 - FEATURE
• แต่ท้ายสุด ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เร่งเครื่องจนได้จุดโทษ 90+8
• จึงกลายเป็นคดีพลิกทันที เปแอสเช มีโอกาสสูงในการลอยลำตาม ดอร์ทมุนด์ เข้าสู่รอบน็อกเอาต์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
รายการ: ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023/24 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มเอฟ
วันแข่งขัน: วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2566
สนาม: ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์
ผลการแข่งขัน: เปแอสเช 1-1 นิวคาสเซิ่ล
ต่างฝ่ายต่างไม่ฟูล
โจ วิลล็อค, ฆาเบียร์ มานกีโย่, ชอน ลองสตาฟฟ์, สเวน บ็อตมัน, คัลลั่ม วิลสัน, เอลเลียต แอนเดอร์สัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์, แดน เบิร์น, เจค็อบ เมอร์ฟี่, แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์
10 รายชื่อข้างต้น คือตัวเจ็บของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
และอย่างที่ทราบ ก็ยังมี ซานโดร โตนาลี่ ที่ติดแบนยาวถึงไหนถึงกัน
ในขณะที่ข่าวร้ายคือขาด 11 คน ข่าวดีอย่างเดียวของ เอ๊ดดี้ ฮาว คือการได้ ลูอิส ฮอลล์ แบ็กเด็กตัวยืมจาก เชลซี กลับมาสมทบทีมอีกครั้ง หลังไม่อาจลงเล่นเกมชนะ เชลซี 4-1 เมื่อวันเสาร์ได้
นั่นทำให้บนม้านั่งสำรองที่ ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ ฮาว เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใส่ชื่อบรรดาดาวรุ่งเอาไว้เพียบเช่นเดิม ทั้ง เบน พาร์กินสัน (18), ไมเคิ่ล เอ็นดิเวนี่ (19) และ เจมส์ ฮันท์ลี่ย์ (19) ในขณะที่อีก 2 คือกองหลัง (ลูอิส ฮอลล์ กับ พอล ดัมเม็ตต์) และอีก 2 คือนายทวาร (มาร์ติน ดูบราฟก้า กับ ลอริส คาริอุส)
นั่นเท่ากับว่า นิวคาสเซิ่ล เหมือนมาเตะเกมนี้ด้วยตัวผู้เล่นแค่ 11 คนถ้วน โดยไม่มีตัวเปลี่ยนเกมจากรายชื่อสำรอง เว้นแต่จะวัดดวงไปกับเด็กๆ เหล่านี้
ฝั่ง หลุยส์ เอ็นริเก้ กุนซือเจ้าถิ่น เปแอสเช ก็ใช่ว่าจะ 100% โดยเสีย วาร์เรน ซาอีร์-เอเมอรี่ เด็กระเบิดวัย 17 ไปจากเกมทีมชาติ รวมถึงกัปตันทีม มาร์กินญอส และ นูโน่ เมนเดส ก็ไม่พร้อม รวมทั้ง มาร์โก อเซนซิโอ แม้จะมีชื่อ แต่ก็เป็นเกมแรกหลังพักยาว ไม่ได้เล่นมาตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.
แต่ก็แน่นอนว่า เปแอสเช สภาพทีมดีกว่าชัด มีทั้งตัวจริงและสำรองให้สลับปรับเปลี่ยนอย่างไม่ลำบาก
สาลิกา มาแบบเสียวๆ
นอกจากสภาพทีมที่เป็นปัญหา เมื่อกวาดตาดูฟอร์มช่วงหลังของ เปแอสเช แล้ว ก็ยิ่งน่ากังวลสำหรับ นิวคาสเซิ่ล มากขึ้นไปอีก
พบว่า ทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ติดเครื่องชนะมาถึง 7 จาก 8 เกมหลังสุด ในทุกรายการ (ลีก เอิง + ชปล.) โดยที่ในจำนวน 7 ชัยชนะนั้น เปแอสเช ยิงได้ 3 ประตูขึ้นไป ทุกเกม
สองเกมหลัง ปารีสฯ กระหน่ำ แร็งส์ 3-0 ต่อด้วยรัว โมนาโก 5-2
และตัวอันตรายสุดอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ก็ยิงไปถึง 7 ลูกจาก 4 นัดหลังของตัวเอง
หนึ่งแฮตทริกในเกมทุบ แร็งส์ 3-0, หนึ่งแฮตทริกในเกม ฝรั่งเศส กด ยิบรอลตาร์ 14-0 และอีก 1 เม็ดในเกมลีกเมื่อสุดสัปดาห์
22 ประตูจาก 20 นัด รวมหมดทั้งสโมสรและทีมชาติ คือผลงานของ เอ็มบัปเป้ ซีซั่นนี้
ครึ่งแรก แลกกันสนุก
อย่างที่ว่า นิวคาสเซิ่ล มาด้วย "สภาวะบังคับ" ให้ต้องใช้แค่ 11 คนแรก เมื่อบรรดาตัวสำรองไม่มีคุณภาพมากพอจะฝากผีฝากไข้ได้
เพียงแต่พวกเขาก็มาด้วยความมั่นใจและฮึกเหิมเต็มที่ จากชัยชนะสวยๆ เหนือ เชลซี 4-1 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นิวคาสเซิ่ล ยัง "ใช้ได้" อยู่แม้จะขาดหายไปครึ่งค่อนทีม
นั่นทำให้ครึ่งแรก สร้างความบันเทิงให้แฟนบอลได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นแฟน 4 หมื่นกว่าคนในสนาม หรือนับแสนนับล้านหน้าจอทีวีก็ตาม
3 นาทีเศษ มานูเอล อูการ์เต้ โถมเข้าตวัดวอลเลย์ตรงจุดโทษ ข้ามคาน
น.9 จังหวะต่อเกมกันไหลลื่นของ เปแอสเช ไปจบที่ อัชราฟ ฮาคิมี่ ไหลต่อให้ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ไขว้ยิง 6 หลา ติดเซฟแรกของ นิค โป๊ป
น.12 มิเกล อัลมิร่อน ขโมยบอลจาก ฮาคิมี่ ได้ที่ฝั่งขวา ก่อนตบเข้าในให้ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ชาร์จโล่งๆ ข้ามคานน่าเสียดาย
น.24 ติโน่ ลิฟราเมนโต้ (21) โชว์ความปราดเปรียวกระชากเข้าทางซ้าย ก่อนเลาะไปจ่ายให้ อัลมิร่อน ตะบันติดเซฟ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า แต่ลูกไม่พ้นอันตราย เสร็จ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ยิงซ้ำจ่อๆ ไม่เหลือ พานิวคาสเซิ่ลขยับนำ 1-0
น.32 อุสมัน เดมเบเล่ กระชากเดี่ยวขึ้นมาล้มตัวยิงด้วยซ้าย นิค โป๊ป ต้องยิดตัวปัดไว้ที่เสาไกล
ทั้งสองฝั่งยืนประจันหน้าแลกหมัดกันยันนาทีท้ายของครึ่งแรก นิวคาสเซิ่ล เกือบได้เสียวกับช็อตทิ้งบอลขึ้นหน้าให้ อิซัค เกือบหลุดเดี่ยว แต่ติดตัวตัดเกมรายสุดท้ายอย่าง มิลาน สคริเนียร์ ฉิวเฉียด ส่วนเจ้าถิ่นก็ได้ลุ้นเมื่อ เอ็มบัปเป้ จ่ายยัดให้ เดมเบเล่ วอลเลย์ไปติดตัว ฟาเบียน แชร์ หน้าปากประตู
สถิติเมื่อสิ้นสุดครึ่งแรกบอกว่า โอกาสยิงประตูมีมากถึง 17 ครั้ง รวมกันทั้งสองฝั่ง -- เปแอสเช ยิงรวม 14 ตรงกรอบ 3 / นิวคาสเซิ่ล ยิงรวม 3 ตรงกรอบ 2
ครึ่งหลัง... เล่นกันแค่ 'ครึ่งสนาม'
ครึ่งแรกแลกกันมันหยด แต่ครึ่งหลัง เกมเปลี่ยนไปเป็น เปแอสเช ยำใหญ่รุกไล่อยู่ฝ่ายเดียว
นิวคาสเซิ่ล ขึ้นเกมไม่ได้จนต้องถอยร่นไปตั้งรับเต็มกำลัง โดยที่สถิติครองบอลเป็น เปแอสเช กินขาด 70:30% หรือกระทั่ง 100% ในหลายนาที
น.56 เดมเบเล่ ทะลุเข้าไปจิ้มไม่ผ่านเซฟ นิค โป๊ป ครั้นว่า เอ็มบัปเป้ จะตีลังกายิงซ้ำเอาสวย ก็โดนไม่ดีเสียอีก
น.66 เปแอสเช พลาดโอกาสทอง เอ็มบัปเป้ ได้ลูกที่สุดเส้นหลังขวา ก่อนปาดมาให้ปีกสำรอง แบร๊ดลี่ย์ บาร์โคล่า ล่อเป้าเน้นๆ 6 หลา ติดโคตรมหาซูเปอร์เซฟของ นิค โป๊ป ไม่น่าเชื่อ
น.82 ลูคัส เอร์นันเดซ จ่ายแรงจากซ้ายให้ เดมเบเล่ เข้าชาร์จ 5 หลา หลุดเสาแรก
น.87 เอ็มบัปเป้ กดเต็มข้อเท้าขวา ตรงตัว นิค โป๊ป บอลเด้งกลับมาให้ซัดด้วยซ้าย ก็ผ่านหน้าประตูไปอย่างไร้โชค
น.90+1 บาร์โคล่า สบช่องวอลเลย์ลูกเปิด ฮาคิมี่ ที่เส้น 6 หลา แต่งัดข้ามออกไปแบบไร้เชิง
น.90+8 เดมเบเล่ เปิดไปชนตัว ลิฟราเมนโต้ แล้วบอลเด้งชนแขนแบ็กนิวคาสเซิ่ล ผู้ตัดสินเช็ค VAR ก่อนเป่าจุดโทษ เอ็มบัปเป้ รับหน้าที่กดผ่าน นิค โป๊ป ไม่เหลือ
เกมที่กำลังจะจบด้วยชัยชนะของ นิวคาสเซิ่ล 1-0 สิ้นสุดลงไปด้วยผลเสมอ 1-1
ด้วยจุดโทษ 90+8 ให้หลังจากการสร้างโอกาสจบรวม 31 ครั้ง และ นิค โป๊ป ต้องออกแรงเซฟไว้ถึง 6 ครั้งด้วยกัน
คดีพลิกทันที
เกมที่กำลังจะจบด้วยชัยชนะของ นิวคาสเซิ่ล 1-0 สิ้นสุดลงไปด้วยผลเสมอ 1-1 นั่นทำให้ "คดีพลิก" ในทันที
เพราะหากว่าชัยชนะตกเป็นของ นิวคาสเซิ่ล แล้ว ทีมสาลิกาจะขยับขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูงของกลุ่มเอฟ กลุ่มแห่งความตายกลุ่มนี้ โดยจะตามหลัง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (3-1 มิลาน) อยู่แค่ 3 แต้ม
แต่เมื่อจบด้วยผลเสมอ 1-1 ก็ทำให้ เปแอสเช หายใจโล่งคอขึ้นเลย
ก่อนจะถึงเกมสุดท้าย (13 ธ.ค. ดอร์ทมุนด์-เปแอสเช, นิวคาสเซิ่ล-มิลาน) สถานการณ์ล่าสุดของกลุ่มเอฟ เป็นแบบนี้
อันดับ | ผลงาน | แต้ม |
---|---|---|
1. ดอร์ทมุนด์ | 3-1-1 | 10 |
2. เปแอสเช | 2-1-2 | 7 |
3. นิวคาสเซิ่ล | 1-2-2 | 5 |
4. มิลาน | 1-2-2 | 5 |
- - ดอร์ทมุนด์ ตีตั๋วเข้ารอบแล้ว จากการมี 10 คะแนน
- ถ้า เปแอสเช บุกชนะ ดอร์ทมุนด์ ได้ในเกมปิดกลุ่ม ก็จะกลายเป็น "แชมป์กลุ่ม" ไปในทันที ด้วยเฮดทูเฮดที่ดีกว่า ดอร์ทมุนด์ (ชนะไปกลับ)
- ถ้า เปแอสเช เสมอเกมส่งท้าย ต้องเงี่ยหูฟังผลอีกคู่ไปพร้อมกัน
- นิวคาสเซิ่ล ต้องชนะเท่านั้น และแช่งให้ เปแอสเช แพ้หรือเสมอ
- มิลาน ก็ต้องชนะเท่านั้น และยังต้องให้ เปแอสเช แพ้ด้วยเหมือนกัน
สลับซับซ้อนใช่ย่อย คิดมากไปปวดหัว
เอาเป็นว่ามาจับตาดูไปพร้อมกัน กลางดึกของกลางเดือนหน้า 13 ธันวา ใครกันจะเป็นอีก 1 เดนตาย ตาม ดอร์ทมุนด์ ผ่านไปได้จาก "กลุ่มแห่งความตาย" กรุ๊ปนี้