หลากหลายประเด็นร้อนจากเกม 'ซูเปอร์กลาซิโก้' สุดเดือด บราซิล 0-1 อาร์เจนติน่า คัดบอลโลก 2026 - FEATURE
• กับเกมคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2026 นัดล่าสุดนี้ ยิ่งหนักเลย
• ตั้งแต่ความวุ่นวายก่อนเกม การเตะติดดาบ และชัยชนะของผู้มาเยือน ถูกบันทึกไว้ที่นี่แล้ว...
คงไม่ต้องร่ายถึงประวัติศาสตร์การพบกันระหว่าง อาร์เจนติน่า กับ บราซิล ให้มากความ เอาเป็นว่า นอกจากการช่วงชิงความสำเร็จในทวีปแล้ว ทั้งสองชาติยังถือเป็นทีม "ระดับโลก" ของแท้แม่ให้มา ซึ่งการพบกันของคู่นี้ก็มีชื่อเฉพาะว่า "ซูเปอร์กลาซิโก้" สมกับความเป็นเกมหยุดโลก และกับเกมคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2026 นัดล่าสุดนี้เมื่อ 21 พ.ย. ยิ่งทวีความร้อนแรง มีเรื่องให้เอ่ยถึงทั้งก่อนเกม, ระหว่างเกม และหลังจากจบเกมลงแล้ว
น่าเห็นใจ แฟร์นันโด ดินิซ
ไหนจะฟอร์มไม่ดี ผลงานไม่ได้ กุนซือชั่วคราวทัพแซมบ้าอย่าง แฟร์นันโด ดินิซ ก็ยังต้องเจอปัญหาสภาพทีมรุมเร้าเข้าให้อีกในคิวทีมชาติงวดนี้
กาเซมิโร่, เนย์มาร์, ริชาร์ลิซอน, เอแดร์ซอน บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว และยังมาเสีย วินิซิอุส จูเนียร์ ตัวเก่งจาก เรอัล มาดริด ถอนตัวออกจากแคมป์ นอกจากนั้นแล้ว ลูคัส ปาเกต้า จอมทัพจาก เวสต์แฮม ก็ไม่ถูกเรียกตัว เมื่อยังพัวพันคดีแทงพนัน
นั่นหมายถึง 6 ตัวหลัก--ครึ่งทีม หายหน้า
และ ดินิซ ก็ทำได้แค่ปรับเล็กๆ จากนัดก่อน (แพ้โคลอมเบีย) เช่น คาร์ลอส ออกุสโต้ แทนที่ เรนัน โลดี้ และ กาเบรียล เชซุส ที่ไม่รู้ล่ะว่าฟิตเต็มถัง 100% หรือยัง ลงค้ำหอกเป้า เมื่อยังไงก็ต้องลงเล่นเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่น
11 คนแรกของบราซิล ประกอบด้วย อลิสซอน เบ็คเกอร์; คาร์ลอส ออกุสโต้, กาเบรียล มากัลเญส, มาร์กินญอส, เอแมร์ซอน โรยัล; อันเดร, บรูโน่ กิมาไรส์; กาเบรียล มาร์ติเนลลี่, โรดรีโก้ โกเอส, ราฟินญ่า; กาเบรียล เชซุส
สถานการณ์ของแชมป์โลก 5 สมัย ตรงกันข้ามกับ แชมป์โลกรายล่าสุดอย่างสิ้นเชิง ด้วยว่าคนที่หายไปจากทีมฟ้าขาว มีเพียง 2 กองหลังอย่าง ลิซานโดร มาร์ติเนซ กับ กอนซาโล่ มอนเทียล เท่าน้น
ลิโอเนล สคาโลนี่ แทบไม่ได้เปลี่ยนทีมเลย โดยมี เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ; นิโกลัส ตายาฟิโก้, คริสเตียน โรเมโร่, นิโกลัส โอตาเมนดี้, นาอูเอล โมลิน่า; โรดริโก้ เด ปอล, โจวานี่ โล เซลโซ่, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, เอ็นโซ เฟร์นานเดซ; ฮูเลียน อัลวาเรซ และ ลิโอเนล เมสซี่
หวดหมดไม่สนลูกใคร
คราวก่อน ในคิวคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2022 ที่ เซา เปาโล เกมระหว่าง บราซิล - อาร์เจนติน่า มีอันต้อง "ยกเลิก" หลังเริ่มเล่นไปแค่ 5 นาที เมื่อปรากฏว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของ บราซิล บุกลงสนามมาควบคุมตัวนักเตะอาร์เจนไตน์ 4 ราย ที่ไม่ผ่านการกักตัวตามข้อกำหนด โควิด-19 จนเกิดการวอล์คเอาต์ของแข้งฟ้าขาว และไม่อาจเคลียร์กันได้ลงตัว
มาวันนี้ ก็หวิดจะออกลูก "รอเก้อ" ซ้ำรอยเดิมเข้าให้อีก...แบบที่ยังไม่ทันเขี่ยบอลกันเลยด้วยซ้ำ!
หลังจากนักเตะสองฝ่ายเดินลงสนาม และยืนตั้งแถวร้องเพลงชาติ ความชุลมุนวุ่นวายก็ปรากฏขึ้นบนอัฒจันทร์ฝั่งทีมเยือน หลังประตู ซึ่งที่จริงก็มีแค่ "กระจุกเดียว" จากแฟนบอล 68,000 กว่าคนของ มาราคาน่า
ไมแน่ชัดว่าต้นสายปลายเหตุเกิดจากใครแน่ แต่ภาพที่ปรากฏคือการ "ซัดกันนัว" ระหว่างกองเชียร์อาร์เจนติน่ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะฝ่าย จนท. ซึ่ง "หวดหมดไม่สนลูกใคร" ฟาดกระบองแบบไม่ยั้ง ไม่ว่าคนตรงนั้นจะมีส่วนหรือไม่มีส่วนกับความวุ่นวายก็ตาม
แฟนบางคนต้องกระชากม้านั่งขึ้นมาขว้างใส่ จนท. เพื่อป้องกันตัว และอีกบางส่วนต้อง "หนีตาย" ลงสู่พื้นสนาม
นักเตะทั้งของ อาร์เจนติน่า และ บราซิล ต่างก็รุดเข้าห้ามปรามหวังยุติสถานการณ์ และ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ จอมหนึบฟ้าขาว ถึงกับพยายามแย่งกระบองจากมือ จนท. ด้วย
การจัดการกับแฟนบอลอาร์เจนไตน์ "ขั้นเด็ดขาด" ของ จนท. บราซิล ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการซ้ำรอยเก่าจากนัดชิง โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส ระหว่าง ฟลูมิเนนเซ่ กับ โบคา จูเนียร์ส เมื่อต้นเดือน ที่วันนั้น แฟนบอลโบคาก็ "อ่วมอรทัย" ไปไม่น้อยเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ไม่สามารถยอมรับได้สำหรับนักเตะ อาร์เจนติน่า ที่นำโดยกัปตันทีม ลิโอเนล เมสซี่ บรรดาแข้งฟ้าขาวจึงตัดสินใจ "วอล์คเอาต์" ออกจากสนามทันที
จนกระทั่งสถานการณ์สงบลง ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นอีกบนอัฒจันทร์ เกมจึงได้กลับมาเริ่มต้นเขี่ยบอลกันได้
หลังจากต้องดีเลย์ไปถึง 30 นาทีเต็ม
เกมติดดาบ
เปิดฉากอย่างคุกรุ่น และเมื่อบรรดาขุนพล อาร์เจนติน่า กลับลงสนามมาอีก ก็ยิ่งเดือดดาลด้วยการปะทะคารมของ โรดรีโก้ โกเอส กับ เมสซี่ ที่ฝ่ายแรก (ในฐานะเจ้าถิ่นและ เรอัล มาดริด) เปิดก่อนด้วยการด่า "ไอ้ขี้ขลาด" และฝ่ายหลัง (ในฐานะผู้มาเยือนและอดีต บาร์ซ่า) ส่วนกลับไปว่า "ไอ้น้อง พี่เป็นแชมป์โลก ทำไมพี่ต้องขี้ขลาด ระวังปากด้วย" พร้อมกับที่ โรดริโก้ เด ปอล เข้ามาเผชิญหน้าแทนลูกพี่ ในฐานะ "บอดี้การ์ดเมสซี่" เหมือนเช่นเคย
เมื่อฝ่ายหนึ่งก็ร้อน ฝ่ายหนึ่งก็แรง สิ่งที่ตามมาก็คือ "เกมเดือด" แบบที่ไม่ต้องคาดหวังเลยถึงฟุตบอลสวยๆ คุณภาพสูงๆ การโชว์ลีลาแซมบ้าหรือกระชากลากเลื้อยหลบ 3-4 ของ เมสซี่
หนักเป็นหนัก ใส่เป็นใส่ ฟาวล์เป็นฟาวล์ ตอดเล็กตอดน้อยมีเรื่อยๆ และต่างก็พร้อม "มีเรื่อง" ตลอดเวลา จนคนที่ต้องทำงานหนักสุดกลายเป็นผู้ตัดสิน ที่เดี๋ยวก็ปรี๊ดๆ รัวนกหวีดยิ่งกว่าตำรวจจราจร
สถิติเมื่อจบเกมบอกว่า บราซิล ฟาวล์ไปทั้งสิ้น 26 ครั้ง อาร์เจนติน่า อีก 16 เท่ากับสองฝั่งฟาวล์รวมกัน 42 ครั้ง
42 ครั้งใน 90 นาที เฉลี่ยคือ ฟาวล์กันทุกๆ 2 นาทีเศษ นั่นเอง
ใบแดงของ โชลินตอน ที่ไปฮึดฮัดเหวี่ยงแขนกึ่งๆ เล่นนอกเกมใส่ โรดริโก้ เด ปอล ในนาที 81 ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
ที่น่าแปลกมากกว่าคือ จากการฟาวล์รวมกัน 42 ครั้งนั่น มีใบเหลืองแค่ 3 ใบเป็นของ บราซิล ฝ่ายเดียว (กาเบรียล เชซุส, ราฟินญ่า, คาร์ลอส ออกุสโต้) ขณะที่ อาร์เจนติน่า ไม่โดนเลยสักใบ
บราซิล ออกจะดีกว่า...แต่...
ในเกมติดดาบที่ต่างฝ่ายต่างก็อยากเล่นคน พอๆ กับเล่นบอล อันที่จริง บราซิล ดูเล่นดีกว่า จะใกล้เคียงกับประตูมากกว่าด้วยซ้ำ
แม้จะขาดตัวหลักไป 6 ราย แต่ถือว่าแนวรุก "ชุดสอง" ที่มี กาเบรียล เชซุส, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่, ราฟินญ่า และ โรดรีโก้ โกเอส ประสานงานร่วมกัน (พร้อม บรูโน่ กิมาไรส์ กับ อันเดร ที่เป็นเป้าหมายของ ลิเวอร์พูล เป็น 2 มิดฟิลด์) ทำได้ไหลลื่นอยู่ไม่น้อย สร้างปัญหาให้กับแนวรับฟ้าขาวและ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ได้มากกว่าที่ เมสซี่ กับ ฮูเลียน อัลวาเรซ จะจู่โจมถึง อลิสซอน เบ็คเกอร์
สิบกว่านาทีแรก จากฟรีคิกระยะอันตรายหน้าเขตโทษ ราฟินญ่า ส่องผ่านกำแพงแล้ว ข้ามคานไปแค่คืบ
ท้ายครึ่งแรก จากเตะมุม บอลทะลักถึง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ตั้งป้อมซัดผ่าน เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ได้แล้ว แต่ติดตัวคุมเส้นรายสุดท้ายอย่าง คริสเตียน โรเมโร่ พอดี
ครึ่งหลัง น.58 น่าเป็นประตูของ บราซิล อย่างยิ่ง เมื่อ กาเบรียล เชซุส กระชากพรวดเข้าทางซ้ายแล้วถ่ายต่อให้ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ล่อเป้าเน้นๆ บริเวณจุดโทษ ก็กลับยิงไม่ผ่านเซฟของ มาร์ติเนซ
ในเกมที่ดุเดือด บีบคั้น และโอกาสทองมีให้ไม่บ่อยครั้ง บราซิล ฉกฉวยมันไว้ไม่สำเร็จ ก็เป็น อาร์เจนติน่า ที่ได้เฮจากโอกาสยิงตรงกรอบเพียง 2 ครั้งเท่านั้นตลอดเกม
เตะมุม น.63 โจวานี่ โล เซลโซ่ เปิดเข้าหัว นิโกลัส โอตาเมนดี้ ทะยานโขกจมตาข่ายโดยที่ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เอาไม่อยู่
อาจไม่ใช่ชัยชนะที่สวยหรู แต่ อาร์เจนติน่า ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด และเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้วที่เกมใหญ่ลักษณะนี้จะตัดสินกันด้วยลูกตั้งเตะแค่หนสองหน
บราซิล ต้องโทษตัวเองมากกว่าที่จบไม่ลง ทั้งที่โอกาสก็เปิดแล้ว
3 เกมซ้อน และหนแรกของการ 'คาบ้าน'
เมื่อกระดุมถูกกลัดผิดเม็ดตั้งแต่แรก ไม่น่าแปลกใจที่ทุกอย่างจะดูหลงทิศหลงทางหลังจากนั้น
เอ่ยไว้แล้วตั้งแต่ครั้งกระโน้น ว่า ซีบีเอฟ (สหพันธ์ฟุตบอลบราซิล) ทำพลาดที่มัวแต่ไปรอ คาร์โล อันเชล็อตติ ให้สละเก้าอี้ เรอัล มาดริด มาตอนกลางปี 2024 และก็ยิ่งพลาดซ้ำสองไปอีกที่ตั้ง แฟร์นันโด ดินิซ คุมทีมแบบ "พาร์ทไทม์" ควบคู่กับงานคุม ฟลูมิเนนเซ่ ไปด้วย
ทีมแชมป์โลก 5 สมัยอย่าง บราซิล มีกุนซือพาร์ทไทม์ ยิ่งเห็นก็ยิ่งจั๊กจี้
คงไม่ได้ปรามาสว่า "เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แห่งบราซิล" อย่าง ดินิซ เป็นโค้ชไม่ได้เรื่อง เมื่ออย่างน้อยก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับ ฟลูมิเนนเซ่ ด้วยมีทั้งแชมป์คาริโอก้า 2023 และ โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส 2023 ที่เพิ่งได้มาเมื่อต้นเดือน (ต่อเวลาชนะ โบคา จูเนียร์ส 2-1)
แต่จนถึงตอนนี้ ก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า ดินิซ ไม่ใช่คนที่ บราซิล สามารถฝากผีฝากไข้ได้แต่อย่างใด
ไม่ว่าเหตุผลของฟอร์มแย่นั้นคืออะไร จะเพราะตัวเจ็บเยอะหรืออย่างไรก็ช่าง แต่การไม่ชนะใคร 4 เกมซ้อน โดยเฉพาะว่าเป็นแพ้ 3 นัดติดต่อกัน ก็คือสิ่งที่ บราซิล ไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง
- เสมอ เวเนซุเอล่า 1-1
แพ้ อุรุกวัย 0-2
แพ้ โคลอมเบีย 1-2
แพ้ อาร์เจนติน่า 0-1
หนักสุดคือแพ้ อาร์เจนฯ นี่แหละ ว่านอกจากจะเป็นการแพ้ 3 นัดซ้อนหนแรกรอบ 22 ปี หรือนับตั้งแต่ 2001 แล้ว (คราวนั้นไม่ชนะ 6 เกมติด เป็นแพ้ 4 นัดรวด) ก็ยังเป็นการ "แพ้คาบ้าน" สำหรับเกมคัดบอลโลก หนแรกสุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลบราซิลเลยทีเดียว
ฉะนั้น ก็โปรดจับตากันให้ดี ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงหลังปีใหม่ ก่อนที่คิวลับแข้งกับ อังกฤษ และ สเปน จะมาถึง (มี.ค. 2024) ซึ่งเป็นคิวเตรียมความพร้อมก่อนลุย โคปา อเมริกา 2024 บราซิล จะมีความเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกสักครั้งไหม สำหรับตำแหน่งกุนซือ
แต่ถ้า ซีบีเอฟ กล้าๆ ปล่อยให้การแพ้ 3 นัดรวดนี้ เงียบหายไปกับสายลม ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องยอมใจพวกพี่เขาจริงๆ
ฉลองเหมือนได้แชมป์โลก
ด้าน อาร์เจนติน่า ฉลองกันหลังเกมอย่างสุดสวิงริงโก้อีโต้บั๊มพ์ เหมือนได้แชมป์โลกสมัย 4 ที่นี่
แต่ก็คงเป็นเรื่องพอเข้าใจได้
เพราะ 1. เป็นของขวัญให้กับแฟนบอลฟ้าขาว ที่เจอเรื่องร้ายๆ กันตั้งแต่ต้นเกม บางคนก็บาดเจ็บ บางคนก็ร่ำไห้อย่างเสียขวัญ
2. การมาชนะที่ มาราคาน่า ป้อมปราการแห่งความภาคภูมิใจของชนชาติบราซิล เป็นการย้ำซ้ำแผลเก่าจากชัยชนะ 1-0 นัดชิง โคปา อเมริกา 2021 ที่สนามเดียวกันนี้
และ 3. เป็นการแก้ตัวจากนัดก่อน ที่หลุดแพ้ อุรุกวัย คาบ้าน 0-2 และทำให้พวกเขายังคงยืนหยัดเป็นจ่าฝูงของการคัดบอลโลก 2026 โซนอเมริกาใต้ ต่อไป
อันดับ | ผลงาน | แต้ม |
---|---|---|
1. อาร์เจนติน่า | 5-0-1 | 15 |
2. อุรุกวัย | 4-1-1 | 13 |
3. โคลอมเบีย | 3-3-0 | 12 |
4. เวเนซุเอล่า | 2-3-1 | 9 |
5. เอกวาดอร์* | 3-2-1 | 8 |
6. บราซิล | 2-1-3 | 7 |
7. ปารากวัย | 1-2-3 | 5 |
8. ชิลี | 1-2-3 | 5 |
9. โบลิเวีย | 1-0-5 | 3 |
10. เปรู | 0-2-4 | 2 |
หมายเหตุ เอกวาดอร์ โดนหัก 3 แต้มจากความผิดคดี ไบรอน กาสติโย่
จับตาอาจมี 'ฟ้าผ่า'
อาร์เจนติน่า ชนะอย่างสาแก่ใจกองเชียร์ ถือเป็นการแก้ตัวจากนัดก่อนที่แพ้ อุรุกวัย คาบ้าน 0-2 และยังทำให้พวกเขาเป็นจ่าฝูงคัดบอลโลก 2026 โซนอเมริกาใต้ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม จับตาดูให้ดี... อาจมี "ฟ้าผ่า"
เมื่อท่าทีของ ลิโอเนล สคาโลนี่ กุนซือหนุ่มผู้พา อาร์เจนติน่า ไปสู่ฝั่งฝันเมื่อปลายปีก่อน ดูออกทรง "เหนื่อยแล้ว" กับงานนี้ มากกว่าจะไปต่อ
"อาร์เจนติน่า ต้องการโค้ชที่มีพลังงานมากเพียงพอ และคนที่พร้อมรับทุกสิ่งจากงานนี้" อดีตดาวเตะ ลาซิโอ เผยหลังเกม แม้สัญญาของเขาที่จริงก็ยังเหลือถึงจบบอลโลก 2026 "ผมต้องการเวลาเพื่อหยุดพักและพิจารณา ผมมีหลายอย่างให้ต้องคิดในตอนนี้"
"นี่ไม่ใช่การบอกลาหรืออะไร แต่ผมอยากทบทวนบางอย่าง เพราะความคาดหวังของงานนี้มันสูงมาก และเป็นอะไรที่สลับซับซ้อนในการไปต่อและคว้าชัยชนะต่อเนื่อง ผมขอเวลาคิดสักหน่อย แล้วจะคุยกับประธานสมาคมและนักเตะ ต่อไป"
หากใช้เกณฑ์ของระยะงาน ว่า สคาโลนี่ นั่งเก้าอี้คุมฟ้าขาวมาก็พักใหญ่แล้ว ตั้งแต่ 2018 ซึ่งในระดับทีมชาติ การอยู่บนเก้าอี้นานเกินไปมักไม่ใช่ผลดี (รวมถึงมันก็เข้าช่วงบั้นปลายของ ลิโอเนล เมสซี่ ในวัย 36 แล้วด้วย) ก็อาจถึงเวลาเหมาะสมแล้วจริงๆ ที่ สคาโลนี่ จะลองเปิดที่ทางให้โค้ชคนอื่นมาลองจับงานนี้ดูบ้าง (...ถ้าไม่ไหว ค่อยคัมแบ็กยังไม่สาย)
แต่หากวัดว่า สคาโลนี่ ยังหนุ่มแน่นแค่ 45 แถมยังมีความท้าทายนออยู่อีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการพา อาร์เจนติน่า ป้องกันแชมป์ โคปา อเมริกา 2024 กลางปีหน้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป้องกันแชมป์โลก 2026 ด้วยแล้ว ก็ต้องถือว่า อาจจะเร็วไปหน่อยสำหรับการวางมือ
สุดท้าย คงไม่มีคำตอบชัด นอกจากให้ สคาโลนี่ ไปพักร้อนนั่งๆ นอนๆ ตัดสินใจสักเดือนสองเดือน ในช่วงที่ อาร์เจนฯ ไม่ได้มีโปรแกรมเตะใดหลงเหลือ
และเราคงได้เห็นกันว่า ชัยชนะเหนือ บราซิล ที่มาราคาน่า จะกลายเป็นเกมส่งท้ายของกุนซือแชมป์โลกอย่าง สคาโลนี่ ไปเสีย รึเปล่า...