"จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่" ย้อนรอยเหตุการณ์ 93:20 ประตูชัยทดเจ็บส่ง แมนซิตี้ สร้างประวัติศาสตร์ - FEATURE

  • พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011/12 เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่ต้องตัดสินแชมป์จนถึงนัดสุดท้าย
  • แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกมาครองได้ในปีนั้น
  • นับเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของ เรือใบสีฟ้า
TOPSHOT-FBL-ENG-PR-MANCITY-QPR
TOPSHOT-FBL-ENG-PR-MANCITY-QPR / PAUL ELLIS/GettyImages
facebooktwitterreddit

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2023/24 จบฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อยแล้วแชมป์ปีนี้ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับการเก็บได้ทั้งหมด 91 คะแนน ส่วนรองแชมป์คือ อาร์เซนอล ที่ทำแต้มห่างจากทีมแชมป์เพียง 2 คะแนนเท่านั้น กับการโกยแต้มได้เป็นกอบเป็นกำถึง 89 คะแนนซึ่งน้อยกว่าปีที่พวกเขาเป็นแชมป์แบบไร้พ่ายเพียงแต้มเดียวเท่านั้น

อย่างที่ทราบกันดีว่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้ต้องมีการตัดสินแชมป์กันถึงนัดสุดท้าย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมันละม้ายคล้ายคลึงกับ ฤดูกาล 2011/12 ที่สองทีมจาก แมนเชสเตอร์ จะต้องแย่งชิงถ้วยแชมป์กันถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาลนั้นเช่นกัน


ศึกชิงถ้วยของสอง แมนเชสเตอร์

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2011/12 ในปีนั้นต้องลุ้นจนนัดสุดท้ายว่าใครจะเป็นแชมป์ลีกระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 ทีมคู่ปรับแห่งแมนเชสเตอร์ที่ดันมีคะแนนเท่ากันทำให้ต้องตัดสินกันในแมตช์สุดท้ายของฤดูกาล

ฤดูกาลนั้นของทั้งสองทีมเรียกได้ว่าฝ่าฝันกันจนถึงวินาทีสุดท้ายไม่มีใครยอมใครมีศักดิ์ศรีของเมืองเป็นเดิมพัน ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปีนั้นมี เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน กุนซือผู้พา ปีศาจแดง คว้าแชมป์มาแล้วนับต่อนับครั้ง รวมถึงยังมี 2 นักเตะดาวเด่นอย่าง เวย์น รูนี่ย์ ตัวรุกที่ยิงประตูถล่มทลาย และ ริโอ เฟอร์ดินาน กองหลังตำนานของทีมเป็นตัวชูโรง ณ เวลานั้น

FBL-ENG-PR-SUNDERLAND-MANCITY
FBL-ENG-PR-SUNDERLAND-MANCITY / GRAHAM STUART/GettyImages

ส่วนทีมร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นำทัพโดย โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือมากประสบการณ์ มี กุน อเกวโร่ ดาวยิงเพชรฆาต และ แว็งซ็อง กอมปานี กองหลังกัปตันทีมตัวสำคัญ ซึ่งนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2011/12 ขณะนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีคะแนนเท่ากัน แต่ เรือใบสีฟ้า กุมความได้เปรียบเล็กน้อยเนื่องจากลูกได้เสียดีกว่า 

โดยโปรแกรมนัดสุดท้ายของทั้งสองทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โคจรมาพบกับ ซันเดอร์แลนด์ ดูแล้วไม่ใช่งานยากแต่อย่างใดของ ปีศาจแดง ส่วนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดูเหมือนจะเจองานยากกว่าเพราะต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ควีน ปาร์ค เรนเจอร์ส ขณะนั้นกำลังต้องการหนีตกชั้น และอีกทีมต้องการที่จะคว้าแชมป์สมัยแรก

เกมเริ่มมาได้ 20 นาที ปีศาจแดง ได้ประตูขึ้นนำก่อนจาก เวย์น รูนี่ย์ ที่โหม่ง ส่งให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นนำ ซันเดอร์แลน 1-0 และจบเกมด้วยสกอร์นี้ ซึ่ง ปีศาจแดง ขอแค่ เรือใบสีฟ้า เสมอหรือแพ้ พวกเขาจะคว้าแชมป์ทันที

Wayne Rooney
Manchester United v West Bromwich Albion - Premier League / Michael Regan/GettyImages

ณ วินาทีนั้น ตารางคะแนน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 1 ด้วย 89 คะแนน และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่อันดับที่ 2 มีทั้งหมด 86 คะแนน

ตัดภาพมาทางฝั่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านรับการมาเยือนของ ควีน ปาร์ค เรนเจอร์ส เกมเริ่มมาในนาทีที่ 39 ซาบาเรต้า วิงแบ็ค ชาวอาร์เจนติน่า ยิงให้ เรือใบสีฟ้า ขึ้นนำก่อน 1-0 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

ตารางคะแนนของ พรีเมียร์ลีก กลับมาเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รั้งอันดับที่ 1 และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่อันดับ 2 คะแนนเท่ากันที่ 89 คะแนน แต่ลูกได้เสีย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดีกว่าจึงทำให้ เรือใบสีฟ้า อยู่หัวตาราง

ครึ่งเวลาหลังในนาทีที่ 48 แนวรับของ เเมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลาดจนทำให้ ฌิบริล ซิสเซ่ หลุดเข้าไปทำประตูตีไข่แตกให้ ควีน ปาร์ค เรนเจอร์ส กลับมาเสมอ 1-1 ถัดมาไม่กี่นาที โจอี้ บาร์ตัน กองกลางสุดเถื่อนของทีมเยือน โดนใบแดง เนื่องจากได้เข้าทำร้ายผู้เล่นทำให้ เรือใบสีฟ้า กุมความได้เปรียบในเรื่องของตัวผู้เล่น

อย่างไรก็ตามแม้ เเมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะกุมความได้เปรียบจากการที่ผู้เล่นของ ควีน ปาร์ค เรนเจอร์ส เหลือ 10 คน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถใช้ความได้เปรียบให้เป็นประโยชน์ แถมยังโดนทีมเยือนขึ้นนำอีกครั้งจาก เจมส์ ชาลี แม็คกี้ ที่โขกจ่อ ๆ โจ ฮาร์ท ปัดบอลไม่พ้นเข้าประตูไปออกนำ 1-2

สถานการณ์ดูเหมือนจะเป็นใจให้ ปีศาจแดง ได้เฮไปก่อน เพราะ เรือใบสีฟ้า ต้องยิงอีก อีก 2 ลูกถึงจะคว้าแชมป์ ซึ่งถ้าจบแบบนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเป็นฝ่ายได้แชมป์มาครอง และใครหลายคนคงคิดไว้ว่าคงจะจบแบบนั้น แต่ใครจะเชื่อว่า “ปาฏิหาริย์” จะเกิดที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม

และนี้คือเหตุการณ์สุดสำคัญและเป็นภาพในหน้าประวัติศาสตร์ วงการ ฟุตบอลอังกฤษ ณ ช่วง 90'+2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ ลูกเตะมุม ดาบิด ซิลบา กองกลาง สัญชาติ สเปน เปิดมุมมาเข้าหัว ของ เอดิน เชโก้ กองหน้า บอสเนีย โหม่งเข้าจ่อๆระยะเผาขนทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตีเสมอได้ เป็น 2-2 แต่แค่นี้มันยังไม่พอ พวกเขาต้องการอีก 1 ประตูเพื่อขี้นนำให้ได้ และจะเป็นแชมป์ และเวลาอีกแค่ 2 นาทีในช่วงทดเจ็บ ทำให้กองเชียร์และนักเตะ เรือใบสีฟ้า กลับมาฮึดสู้อีกครั้ง

Carlos Tevez, David Silva
Manchester City v West Bromwich Albion - Premier League / Laurence Griffiths/GettyImages

ตารางคะแนนตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีทั้งหมด 89 คะแนน และ เรือใบสีฟ้า อยู่ที่ 87 คะแนน ถ้าเป็นแบบนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงเป็นทีมที่คว้าแชมป์มาครองหากจบ 90 นาที

แต่สถานการณ์สร้าง “วีรบุรุษ” ในนาทีที่ 93 เวลาแห่งประวัติศาสตร์ได้มาถึง กุน อเกวโร่ รับบอลในกรอบเขตโทษก่อนยิงสวนตัว เพดดี้ เคนนี เป็นประตูชัยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นนำ ควีน ปาร์ค เรนเจอร์ 3-2 เขาวิ่งไปดีใจโดยการถอดเสื้อพร้อมควงไปปาอย่างมีความสุข เป็นภาพสุดคลาสสิก ที่ใครหลาย ๆ คนยังจำได้ ชนิดที่สนามแทบแตก เพราะเสียงเชียร์ดีใจจากกองเชียร์ รวมถึงสตาฟโค้ช นักเตะ และในที่สุดพวกเขาทำได้ เรือใบสีฟ้า คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2011/12 ได้เป็นสมัยแรกของสโมสร

Sergio Aguero
Norwich City v Manchester City - Premier League / Matthew Lewis/GettyImages

"ตอนผมสัมผัสบอล ผมคิดในใจว่า โอเค อาจจะพอเรียกจุดโทษได้ เซ็นเตอร์ของ ควีน ปาร์ค เรนเจอร์ สัมผัสผมนิดหน่อย แต่ไม่แรงเท่าไร ผมเลยวัดใจด้วยการลากต่อไปอีกพอถึงตรงนั้นผมได้คำตอบว่าต้องยิงเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะง้างเท้าเมื่อไรแค่นั้นเอง"

"เมื่อจังหวะและโอกาสมาถึงผมยิงในแบบของผม นั่นคือการตัดสินใจยิงให้แรงที่สุดโดยเล็งไปที่เสาแรก" กุน อเกวโร่ เล่าวินาทีนั้นผ่าน Skysports