ฝรั่งเศส 2-0 โมร็อกโก: 5 บทสรุปหลังทัพ ตราไก่ กรุยทางป้องกันแชมป์ เวิลด์คัพ
โดย โตมร นวลประเสริฐ
รายการ: ฟุตบอลโลก 2022 รอบ 4 ทีมสุดท้าย
วันแข่งขัน: คืนวันพุธที่ 14 ธันวาคม 2022
สนาม: อัล เบย์ท สเตเดี้ยม
ผลการแข่งขัน: ฝรั่งเศส 2-0 โมร็อกโก
ผู้ตัดสิน: เซซาร์ รามอส (เม็กซิโก)
1. ประตูต้นเกมเซ็ตโมเมนตัม
ท่ามกลางการออกสตาร์ทที่อึดอัด โมร็อกโก แสดงแนวทางชัดเจนตั้งแต่การจัดทัพ 11 ตัวจริงด้วยการยัดแผงแนวรับ 5 คนในรูปแบบ 5-4-1 ตั้งรับให้เหนียวแน่นเพื่อเกมที่ยืดเยื้อ ไม่เปิดพื้นที่ให้เหล่าแนวรุกระดับพระกาฬของ ฝรั่งเศส นัก
แต่แล้ว อองตวน กรีซมันน์ ก็แสดงให้เห็นคลาสในการเคลื่อนที่ จัดระเบียบร่างกาย พลิกบอลที่ได้รับหน้าไลน์หลุดกระชากจี้เข้าไปในกรอบเขตโทษอันเป็นที่มาของการได้ประตูจาก เตโอ แอร์น็องเดซ ตั้งแต่นาทีที่ 5
ให้หลังจากนั้นฝั่งตัวแทนจากทวีป แอฟริกา ก็ดูจะสับสนอยู่พักใหญ่กว่าจะกลับมาตั้งหลักได้ในครี่งเวลาหลัง
2. สังเวย ซาอิสส์-เหล่าแข้ง โมร็อกโก ล้าเต็มที
นาเยฟ อาเกิร์ด, ฮาคิม ซิเยค และ โรแม็ง ซาอิสส์ คือชื่อของเหล่าคีย์แมน โมร็อกโก ที่อยู่ในข่าวสภาพร่างกายไม่เต็มถังตั้งแต่ก่อนเริ่มเกมการแข่งขัน ทั้ง 3 คนมีชื่ออยู่ในทีมชุดออกสตาร์ทตัวจริงพบ ฝรั่งเศส กระทั่งก่อนเกมเริ่มขึ้นไม่กี่อึดใจ
อาเกิร์ด ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คถูกถอดออกจากทีมจากปัญหาอาการบาดเจ็บตั้งแต่ก่อนที่จะเขี่ยลูกเริ่มเล่น, ซาอิสส์ ที่พันผ้าบริเวณต้นขาเพื่อลงสนามสามารถอยู่ในเกมราว 20 นาทีก่อนจะไม่อาจเล่นต่อไหว ขณะที่ ซิเยค ดูจะหมดก๊อกเมื่อเกมผ่านราว 1 ชั่วโมง
อาการล้าของลูกทีม วาลิด เรกรากี ยังแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในช่วงราว 20 นาทีสุดท้ายที่แม้ทีมจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ต้องการประตูตีเสมอแต่ขาของพวกเขาแทบจะก้าวกันไม่ออกแล้ว
3. กรีซมันน์ 2.0
เป็นอีกครั้งที่ อองตวน กรีซมันน์ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจเกมในบทบาทมิดฟิลด์หมายเลข 8 กับการมีส่วนร่วมทั้งกับเกมรุกและเกม ต่างจากที่เจ้าตัวมักประจำการในตำแหน่งกองกลางหมายเลข 10
ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ จับเอาดาวเตะ แอตเลติโก มาดริด ลงเล่นในบทบาทดังกล่าวแทนที่ทรัพยากรชั้นยอดอย่าง ปอล ป็อกบา หรือ เอ็นโกโล ก็องเต้ ที่เคยเป็นคีย์แมนให้กับทัพ เลส์เบลอส์ ซึ่งไม่ได้มีชื่อร่วมทัพใน ฟุตบอลโลก ครั้งนี้จากปัญหาอาการบาดเจ็บ
กรีซมันน์ ยืนต่ำที่แดนกลางร่วมกับ ยุสซุฟ โฟฟานา และ ออเรลียง ชูอาเมนี โดยแข้งวัย 31 ปีทำสถิติเป็นแข้ง ฝรั่งเศส ที่ตัดบอลได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของทีม (2 ครั้ง) ตามหลังเพียง ชูอาเมนี (4 ครั้ง) และ อิบราฮิมา โคนาเต้ (5 ครั้ง)
และที่สำคัญคือเขาสามารถผ่านบอลสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนร่วมทีมสับไกยิงได้มากที่สุดในสนามที่จำนวน 4 ครั้ง
4. เอ็มบัปเป้ vs ฮาคิมี
การดวลกันระหว่าง คิลิยัน เอ็มบัปเป้ กับ อชราฟ ฮาคิมี เพื่อนร่วมทีมในระดับสโมสร ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ได้รับการจับตาตั้งแต่ก่อนเริ่มเกมการแข่งขัน ถึงขนาดที่ เอ็มบัปเป้ ทวีตข้อความว่าเขาจะ 'เผาเครื่อง' แบ็คขวาทีมชาติ โมร็อกโก ให้ราบคาบ
โซนรับลึกในช่วงต้นของ โมร็อกโก ไม่เปิดพื้นที่ให้ เอ็มบัปเป้ ได้วาดลวดลายนักนอกจากช็อตที่เจ้าตัวเข้าไปรับบอลบริเวณจุดโทษซัดไปติดบล็อกก่อนจังหวะต่อเนื่องจะเป็นการเก็บตกของ เตโอ แอร์น็องเดซ สังหารเป็นลูกยิงเบิกร่อง
การดวลกันระหว่างทั้ง 2 คนเกิดขึ้นในเพียงแค่โซนรับของ โมร็อกโก เท่านั้นเมื่อ เอ็มบัปเป้ ไม่ได้ตามประกบตัว ฮาคิมี ยามที่ลูกทีมของ วาลิด เรกรากี ทะยานลอยสูงเพื่อประสานงานร่วมกับ ฮาคิม ซิเยค ที่แดนหน้า โดย ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ วางหน้าที่ให้ เอ็มบัปเป้ รอรับบอลจากจังหวะสวนกลับเร็วจนทำให้พลพรรค ตราไก่ มีช็อตหวาดเสียวให้เห็นหลายต่อหลายครั้ง
กระทั่ง เอ็มบัปเป้ มีส่วนร่วมกับการขึ้นเกมที่กราบซ้ายในช่วงท้ายอันนำมาสู่ประตูตอกฝาโลง 2-0 ของ โคโล มูอานี ในที่สุด
5. ดรีมไฟนอล: เมสซี vs เอ็มบัปเป้
ผลจากชัยชนะของ ฝรั่งเศส เหนือ โมร็อกโก ทำให้พวกเขาจะเข้าไปชิงชนะเลิศกับ อาร์เจนตินา ในเกมคืนวันอาทิตย์นี้ และจะเป็นการดวลกันของเพื่อนร่วมทีม ปารีส แซงต์-แชร์กแมง อีกคำรบระหว่าง ลิโอเนล เมสซี กับ คิลิยัน เอ็มบัปเป้
นอกจากจะเป็นการฟาดฟันกันในสนาม ทั้ง 2 คนรั้งตำแหน่งดาวซัลโวร่วมของ ฟุตบอลโลก 2022 เวลานี้ที่ 5 ประตูเท่ากันโดยทั้ง 2 ทีมพบกันครั้งล่าสุดในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของ เวิลด์คัพ 2018 ที่ รัสเซีย โดยขุนพล เลส์เบลอส์ เป็นฝ่ายกำชัย 4-3 เขี่ยทัพ ฟ้าขาว ร่วงตกรอบก่อนกรุยทางสู่ตำแหน่งแชมป์โลกในที่สุด
ทั้งนี้ ฝรั่งเศส ในฐานะแชมป์เก่ายังมีลุ้นเป็นชาติแรกที่จะสามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จในรอบ 60 ปีขณะที่เกมนัดชิงฯ วันอาทิตย์นี้จะเป็นเกมสุดท้ายของ ลิโอเนล เมสซี ในศึก เวิลด์คัพ