เธียร์รี อ็องรี: ตามรอย 1 ในท็อป 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล พรีเมียร์ลีก
หากจะพูดถึงนักเตะที่เป็นตำนานของ อาร์เซนอล เชื่อได้เลยว่าแฟนบอลทั้งหลายจะต้องนึกถึง เธียร์รี อ็องรี ขึ้นมาเป็นอันดับแรก ๆ อย่างแน่นอน และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะผลงานของเขาเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมชนิดที่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังหาคนที่สร้างมาตรฐานระดับนั้นใน ทีมปืนใหญ่ แทบไม่ได้เลย
วันนี้เราจึงอยากจะพาแฟน ๆ 90Min ย้อนความหลังกลับไปชมที่มาที่ไปของการเป็นตำนาน และแน่นอนว่าเขาคือ 1 ใน 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ พรีเมียร์ลีก กับอันดับที่ 6 เธียร์รี อ็องรี...
ต้นกำเนิดของตำนาน
เธียร์รี แดเนียล อ็องรี เกิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมปี 1977 อาศัยอยู่ในย่านเลซูว์ลิสแถบชานเมืองกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แม้จะถูกมองว่าเป็นโซนที่ค่อนข้างเสื่อมโทรม แต่กลับมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านฟุตบอลที่ค่อนข้างดี และนั่นทำให้ อ็องรี ได้มีโอกาเข้ารับการฝึกฝนทักษะด้านฟุตบอลตั้งแต่อายุ 7 ขวบกับสโมสรระดับท้องถิ่น
ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นกว่าเด็กคนอื่น ๆ ในปี 1990 โมนาโก จัดการส่งแมวมองมาดูฟอร์มของ อ็องรี ที่ขณะนั้นอายุเพียงแค่ 13 ก่อนจะประทับใจอย่างมากและดึงเข้าสู่ทีมเยาวชนของ โมนาโก โดยที่ไม่ต้องผ่านการทดสอบฝีเท้าเหมือนคนอื่น ๆ เลยด้วยซ้ำ
เริ่มต้นที่ โมนาโก... เติบโตที่ ยูเวนตุส
หลังจากเล่นกับทีมเยาวชนได้ 4 ปี อ็องรี ถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในตำแหน่งปีกซ้ายเมื่อปี 1994 ซึ่งนายใหญ่ของ โมนาโก ที่มองเห็นแววของเขาในขณะนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อาร์แซน เวงเกอร์ ยอดบรมกุนซือของ อาร์เซนอล ในเวลาต่อมานั่นเอง หลังจากนั้น อ็องรี ก็ค่อยพัฒนาฝีเท้าพร้อมกับเริ่มมีบทบาทสำคัญกับทีมชุดใหญ่มากขึ้น จนกวาดรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมจากหลายสำนักมาครองได้อย่างมากมาย พร้อมกับเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลกเมื่อปี 1998 อีกด้วย
กระทั่งเดือนมกราคมปี 1999 ยูเวนตุส ยักษ์ใหญ่แห่งประเทศอิตาลี จัดการควักเงิน 10 ล้านปอนด์กระชากตัวเขาไปร่วมทีม แต่ที่นั่น อ็องรี มักจะถูกขยับไปเล่นเป็นวิงแบ็ค และก็มักจะมีปัญหาในการเล่นเกมรับอยู่เสมอ จนกระทั่งจบฤดูกาลด้วยผลงาน 3 ประตูจาก 16 นัดที่ลงเล่นใน กัลโช เซเรีย อา
มุ่งสู่ความยิ่งใหญ่ใน ลอนดอน
หลังจากครึ่งปีแห่งความล้มเหลวที่ อิตาลี หน้าร้อนปี 1999 อาร์เซนอล ที่เพิ่งจะเสีย นิโกลาส อเนลก้า ไปหมาด ๆ นั้น ทำให้ อาร์แซน เวงเกอร์ ไม่รอช้าควักเงิน 11 ล้านปอนด์ดึงตัว อ็องรี กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งที่อังกฤษ และนั่นคือจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของตำนานสโมสรรายนี้
อย่างที่กล่าวไปว่า เวงเกอร์ คือคนที่ปลุกปั้น อ็องรี มาตั้งแต่ยังเป็นดาวรุ่ง เพราะฉนั้นเขาจึงรู้ศักยภาพของดาวเตะวัย 21 ปีในขณะนั้นเป็นอย่างดี และจัดการขยับให้ไปเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้านับตั้งแต่นั้น ซึ่งเจ้าตัวใช้เวลาไม่นานในการปรับตัวให้เข้ากับฟุตบอลอังกฤษก่อนจะจบฤดูกาลที่ 26 ประตูรวมทุกถ้วย พร้อมกับความทีมคว้ารองแชมป์ลีก และรองแชมป์ ยูฟ่า คัพ ในปีนั้น แต่ในนามทีมชาติเขาสามารถผงาดพาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์ ยูโร 2000 มาครองได้ยิ่งใหญ่
ฤดูกาล 2000-01 อ็องรี ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการจัดไป 22 ประตู ก่อนที่ปีต่อมา 2001-02 เจ้าตัวจะระเบิดฟอร์มเก่งซัดไป 24 ประตูในลีก 32 ประตูรวมทุกรายการคว้ารางวัลดาวซัลโวของลีกพร้อมพ่วงดับเบิลแชมป์ทั้ง พรีเมียร์ลีก และ เอฟเอ คัพ มาครองได้ในปีนั้น เช่นเดียวกับฤดูกาล 2002-03 ที่จบด้วยผลงาน 31 ประตู 28 แอสซิสต์ และเป็นแชมป์ เอฟเอ คัพ สองสมัยติดต่อกัน
กระทั่งในฤดูกาล 2003-04 อ็องรี ยิง 30 ประตูในลีกพาทีมสร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์ลีกแบบไร้พ่ายพร้อมคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดมาครองได้อีกครั้ง โดยในปีดังกล่าวเจ้าตัวซัดรวมทุกรายการถึง 40 ลูกเลยทีเดียว ก่อนที่ซีซั่นถัดมาแม้พวกเขาจะต้องเสียแชมป์ให้กับ เชลซี แต่ก็ยังมีแชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นรางวัลปลอบใจพร้อมกับผลงาน 30 ประตู 15 แอสซิสต์รวมทุกถ้วย คว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดของ พรีเมียร์ลีก สมัยที่ 3 ติดต่อกัน
ปี 2005-06 อ็องรี เกือบพา อาร์เซนอล ขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยการเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่น่าเสียดายที่ไปพ่ายต่อ บาร์เซโลนา ในที่สุด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงเป็นดาวซัลโวสูงสุดต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 4 ด้วยผลงาน 27 ประตูในลีกและ 33 ประตูรวมทุกรายการ
แต่แล้วปี 2006-07 อ็องรี ประสบปัญหาถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนักตลอดทั้งฤดูกาล ทำให้เจ้าตัวแทบจะหายหน้าไปเลยราวครึ่งซีซั่น แต่ก็ยังไม่ทิ้งลายด้วยการยิงไปได้ถึง 10 ประตูจากการลงเล่นในลีกไป 17 นัดด้วยกัน
ความท้าทายใหม่กับ ทัพต่างดาว
ช่วงหน้าร้อนปี 2007 ข่าวช็อควงการฟุตบอลอังกฤษโดยเฉพาะแฟนบอล อาร์เซนอล ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อ บาร์เซโลนา ประกาศคว้าตัว อ็องรี ในวัย 29 ปีไปรวมทีมด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร แม้ในปีแรกเขาจะยังไม่ประสบความสำเร็จมากนักกับ เจ้าบุญทุ่ม แต่ก็ทำผลงานไปได้ 19 ประตูกับ 12 แอสซิสต์รวมทุกถ้วย จนกระทั่งการเข้ามาคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในฤดูกาลถัดมาทำให้ บาร์ซ่า และ อ็องรี ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยการกวาดแชมป์แทบทุกรายการที่มีบนโลก ลาลีกา โคปปา เดอ เรย์ ไม่เว้นแม้แต่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยหัวหอกชาวฝรั่งเศสจัดการซัดไป 26 ประตูรวมทุกรายการให้กับทีมเลยทีเดียว
แต่แล้วฤดูกาล 2009-10 การมาของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ทำให้ อ็องรี เริ่มต้องนั่งรอโอกาสบนม้านั่งมากขึ้น แม้ว่าจะจบปีด้วยการเป็นแชมป์ ลาลีกา สมัยที่สองของเขา แต่เจ้าตัวก็ได้ลงเล่นในลีกไปเพียง 21 นัดและเป็นตัวจริงเพียง 15 เกมทำได้ 4 ประตูเท่านั้น
บั้นปลายแต่ก็ยังไว้ลาย
หลังจบฟุตบอลโลกปี 2010 บาร์เซโลนา ประกาศปล่อยตัว อ็องรี อย่างเป็นทางการ โดยเจ้าตัวตัดสินใจมองหาความท้าทายใหม่ ๆ ด้วยการเซ็นสัญญากับ นิวยอร์ค เร้ดบูลล์ ใน เมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งที่นั่นเขาระเบิดฟอร์มเก่งยิงไปได้ถึง 15 ประตูให้ทีมในปีแรก
อย่างไรก็ตามหลังจากจบฤดูกาล อ็องรี ตัดสินใจย้ายกลับมาเล่นให้กับ อาร์เซนอล ในเดือนมกราคมปี 2012 ด้วยสัญญายืมตัวระยะสั้น โดยทำได้ 2 ประตูจากการลงสนาม 7 เกม กระทั่งกลับมาเล่นกับต้นสังกัดเดิมที่ นิวยอร์ค และซัดไป 35 ลูกกับ 42 แอสซิสต์ ตลอด 3 ฤดูกาล จนต้นปี 2015 เจ้าตัวประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในวัย 37 ปี ปิดตำนานดาวยิง ปืนใหญ่ ด้วยผลงาน 175 ประตูในลีกจาก 258 เกม มากที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 6 ของ พรีเมียร์ลีก เลยทีเดียว
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด