ชีวิตไม่มีแผนสองของ “คาโอรุ มิโตมะ” - FEATURE
ฟุตบอลโลก 2022 กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้าสำหรับทีมชาติญี่ปุ่น และเกมแรกของพวกเขากับการพบกับ เยอรมัน คือหนึ่งในบททดสอบยากที่สุดของพวกเขาในทัวร์นาเมนต์นี้ และจะเป็นบททดสอบสำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากคาวาซากิ ที่กำลังผลงานไปได้สวยในพรีเมียร์ ลีก คนนี้
คาโอรุ มิโตมะ (25 ปี สัญญาถึงกลางปี 2025)
ตัวริมเส้นทีมชาติญี่ปุ่น กำลังอยู่ในช่วงที่เร่งฟอร์มได้น่าจับตามองอย่างยิ่ง กับปีแรกอย่างเป็นทางการของเขาในพรีเมียร์ ลีก กับ ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่เขาย้ายมาร่วมงานด้วยตั้งแต่ปี 2021
มิโตมะ เริ่มต้นการเล่นฟุตบอลในเมือง คาวาซากิ บ้านเกิดของเขา แน่อนอนว่าเขาคือผลผลิตทีมเยาวชนของสโมสร คาวาซากิ ฟรอนทาเล่ เจ้าของแชมป์ลีก 4 สมัย ที่กลายเป็นหนึ่งในทีมที่แกร่งที่สุดในเวลานี้ของญี่ปุ่น มิโตมะ บ่มเพาะตนเองจนถึงอายุ 19 ปี เขาก็ได้รับข้อเสนอจากทีมในการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพ แน่นอนสำหรับคนจำนวนมากนี่คือโอกาสที่ดี แต่เขากลับสวนทางกับความคิดคนอื่นด้วยการปฏิเสธข้อเสนอนั้นจากฟรอนทาเล่ และเลือกจะเข้าสู่ระบบมหาวิทยาลัย
เขาเลือกย้ายไปที่มหาวิทยาลัย สึคุบะ (University of Tsukuba) ซึ่งที่นั่นเขาได้ลงเรียนในด้านเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ (Physical Education) และเล่นฟุตบอลไปด้วยในเวลาเดียวกันให้กับทีมของมหาวิทยาลัย และลงเล่นทัวร์นาเมนต์ระดับมหาวิทยาลัยถึงสองครั้งในช่วงเวลา 3 ปีที่นั่น รวมถึงลงเล่นใน Emperor Cup หรือเทียบเท่ากับ เอฟเอ คัพ ในอังกฤษ ซึ่งสำหรับ มิโตมะ เขายอมรับว่านี่คือทางเลือกที่ดีสำหรับเขา เพราะนอกจากการเล่นฟุตบอลแล้ว เขาได้ความรู้อะไรหลายอย่างจากสามปีนั้น
“ผมคิดว่าการเลือกเข้ามหาวิทยาลัย มันเป็นเรื่องที่ดีต่อการเป็นนักเตะอาชีพสำหรับผม การเรียนที่นั่น ผมได้รู้อะไรหลายเรื่อง เรื่องการทำงานของโค้ช, ภาพรวมของกีฬา หรือว่าเรื่องของสารอาหารที่ดีสำหรับนักกีฬา ผมได้ความรู้เยอะมากตลอดเวลาที่นั่น แต่ผมไม่เคยเปลี่ยนใจผมจะเป็นนักเตะอาชีพให้ได้ ผมไม่มีแผนอื่นเลย”มิโตมะ กล่าว
ในระหว่างช่วงเวลาที่นั่นเขาติดทีมชาติญี่ปุ่นชุดอายต่ำกว่า 21 ปี และ 23 ปีตามลำดับ เส้นทางอาชีพของเขายังคงคู่ขนานไปกับตัวเขา โดยมี คาวาซากิ ฟรอนทาเล่ ที่ยังคงติดต่อกันเสมอ และเขามีโอกาสได้กลับไปซ้อมกับทีมอยู่บ่อยครั้งอีกด้วย ภายใต้เงื่อนไขที่ชื่อว่า “J.League designed special player” ซึ่งเป็นระบบที่มีมาตั้งแต่ปี 1998 ให้กับนักเตะที่เล่นในระดับมัธยม หรืออุดมศึกษา เข้าร่วมซ้อมกับสโมสรในเจลีกได้ โดยที่ยังคงสถานะของนักศึกษาอยู่ หากผลงานดีก็สามารถที่จะเจรจากับนักเตะเซ็นสัญญาอาชีพกับทีมได้ในอนาคต ซึ่งมิโตมะได้สัญญาล่วงหน้ากับ ฟรอนทาเล่ ตั้งแต่ปี 2018 แล้ว ก่อนที่เมื่อจบการศึกษา เขาก็มาร่วมงานกับฟรอนทาเล่ ในปี 2020 ด้วยวัยร่วม 23 ปี
มิโตมะ ในวัย 23 ปี มีความรู้ในระดับมหาวิทยาลัย ขณะที่ในวงการฟุตบอลเขามีผลงานน่าสนใจในระดับมหาวิทยาลัย และผ่านทีมชาติญี่ปุ่นชุดเล็กมาแล้ว ต่อจากนี้คือเส้นทางอาชีพที่รอเขาอยู่
การลงเล่นในฟรอนทาเล่ของเขาในฤดูกาลแรกในฐานะนักเตะอาชีพเริ่มต้นในปี2020 และปีแรกเขาก็ยึดตัวจริงได้ทันที กับสองปีแรกในอาชีพเขายิงไปถึง 30 ประตู ใน 61 เกม เป็นตัวเลขที่บ้าคลั่งไม่น้อยสำหรับคนเล่นริมเส้น และนั่นนำมาซึ่งการมุ่งหน้าสู่ไบร์ทตันในเวลาต่อมา และเขาไม่ลังเลเลยที่จะรับโอกาสนี้ไว้บนความเสี่ยงที่เขายืนยันว่า “ไม่ลองไม่ได้”
“ผมคิดถึงการเล่นฟุตบอลในยุโรปมาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมอยากเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุดของอาชีพนี้ ดังนั้นเมื่อได้ลงเล่นในลีกสูงสุดในญี่ปุ่น เป็นเวลา 18 เดือน ไบร์ทตัน ก็ยื่นข้อเสนอเข้ามา และผมเลือกที่จะไปที่นั่น แม้จะมีข้อเสนอจากทีมในยุโรปอื่นเข้ามาถึงผมก็ตาม”
ในระหว่างการเตรียมย้ายทีม มิโตมะ ติดทีมชาติญี่ปุ่นลงเล่นในฟุตบอล โอลิมปิก เกมส์ 2020 (ที่ลงเล่นในปี 2021 ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ระบาด) ยิ่งทำให้เขาได้ประสบการณ์มากกว่าเดิม แม้พวกเขาจะไม่ได้เหรียญมาคล้องคอ ในฐานะอันดับสี่ของการแข่งขัน แต่สำหรับ มิโตมะ ฝากผลงานหนึ่งประตู และคว้าประสบการณ์อีกเพียบกลับออกไปด้วย
“โอลิมปิก เกมส์ ทำให้ผมเจอกับความกลัวที่ผมต้องได้เจอ ผมได้รู้ในสิ่งที่ผมขาดหายไปในเกม ผมตื่นเต้นมากกับทัวร์นาเมนต์นั้น กลัวว่าตัวเองจะดีไม่พอ กลัวทำผลงานไม่ดี ผมรู้ตัวเองว่าผมกลัวผมเก่งไม่พอ แต่การลงเล่นในทัวร์นาเมนต์นั้น ผมได้อะไรมากมายว่า ถ้าการกลัวนั้นมันน่ากลัว ผมสามารถเอามันมาพัฒนาตัวเองต่อได้ ประสบการณ์ที่ได้รับมันล้ำค่าสำหรับผมมาก”
สิงหาคม 2021 มิโตมะ ตัดสินใจออกเดินทางครั้งสำคัญ ด้วยการเซ็นสัญญา 4 ปี อำลา คาวาซากิ ฟรอนทาเล่ มุ่งหน้าสู่ ไบร์ทตัน เมืองสวย ๆ ทะเลล้อมรอบ ที่ปล่อยตัวเขาไปปรับตัวในยุโรปกับทีม รอยัล ยูเนี่ยน แซงต์ ชิลลัวร์ (Royale Union Saint Gilloise) สโมสรในเบลเยี่ยม เป็นเวลาหนึ่งฤดูกาล (เหตุที่ย้ายไปที่นั่นประธานสโมสร ไบร์ทตัน โทนี่ บลูม เป็นเจ้าของสโมสรนี้) ซึ่งที่นั่นเขามีส่วนอย่างมากในการพาทีมจบด้วยรองแชมป์ลีกในปีนั้น กับ 29 เกม 8 ประตู 4 แอตซิสต์ ในทุกรายการ (ลงตัวจริง 17 เกม) นับว่าเป็นหนึ่งปีที่ดีของเขาในฟุตบอลลีกยุโรป ขณะที่ มิโตมะ ผู้ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงแต่ยังมองว่าไม่มากพอจะลงเล่นในพรีเมียร์ ลีก กลับมาพร้อมกับความแข็งแกร่งทางร่างกาย และการปรับตัวได้ในยุโรป
“เราติดตามผลงานของมิโตมะมาตลอด เขามีผลงานที่ดีมากในญี่ปุ่นต่อเนื่องหลายปี และเรามองว่าเขาน่าสนใจ การเซ็นสัญญากับเขาเป็นการลงทุนที่เรามองถึงอนาคต และการปล่อยตัวเขาไปเล่นกับ แซงต์ ชิลลัวร์ เป็นหนึ่งในแผนงานเพื่อการพัฒนาเขา แน่นอนทุกวันของเขาในเบลเยี่ยมจะอยู่ภายใต้การติดตามผลงานจากเรา” แดน แอชเวิร์ธ หนึ่งในทีมงานบริหารคนสำคัญของไบร์ทตัน กล่าวเอาไว้ในปี 2021 โดยปัจจุบันเขาย้ายไปทำงานกับนิวคาสเซิ่ล เรียบร้อยแล้ว
“”ช่วงเวลาที่ แซงต์ ชิลลัวร์ ให้อะไรกับผมมากมาย ทุกวันนี้ผมยังคงติดตามผลงานของพวกเขาเสมอ ผมเล่นปีกซ้ายมาตลอด แต่ในช่วงเวลานั้นผมได้เรียนรู้การเล่นในตำแหน่งอื่นอย่างเช่น กองหน้า หรือว่า วิงแบ็ค เพราะทีมเล่นในระบบ 3-5-2 นั่นทำให้ผมได้รู้ศักยภาพของตัวเอง แต่ปีกซ้ายยังคงเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับผม”
13 สิงหาคม 2022 มิโตมะ พร้อมแล้วสำหรับโอกาสในการลงเล่นในพรีเมียร์ ลีก หนึ่งในลีกที่ดีที่สุดในโลกที่เขาฝันถึง เกมกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด คือเกมแรกของเขา ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ยกระดับตัวเองขึ้นมาตามลำดับ สุดท้ายเขาก็ได้ลงเล่นตัวจริงในเกมพบกับ เชลซี ซึ่งเขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่น และมี แอตซิสต์แรกของตนเองในพรีเมียร์ ลีก กับชัยชนะ 4-1 เหนือทีมดังจากลอนดอน ก่อนที่เกมต่อจากเขาจะยิงประตูแรกในพรีเมียร์ ลีก ในการบุกเอาชนะ วูลฟ์ส 3-2 และคราวนี้ เขาไม่ใช่ คาโอรุ มิโตมะ อีกแล้ว แต่เขาคือ “Magic Mitoma” สำหรับแฟนบอล กับการคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมในเกมนั้น และตามมาด้วยหนึ่งประตูในเกมพบกับอาร์เซนอล ในคาราบาว คัพ กลายเป็น 3 เกม 2 ประตู 1 แอตซิสต์ ในช่วงเวลาสองสัปดาห์ ที่น่าเสียดายว่าเขาต้องพักจากอาการป่วยจนพลาดเกมสุดท้ายก่อนเข้าสู่ฟุตบอลโลกอย่างน่าเสียดาย แต่เขาจะไม่พลาดการลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่มี เยอรมัน เป็นบททดสอบแรก
“การลงเล่นในพรีเมียร์ ลีก ในฐานะตัวจริงช่วยผมได้มาในเรื่องความมั่นใจ ต่อจากนี้คือการลงเล่นต่อเนื่องคือสิ่งที่ผมต้องการ แต่ตอนนี้ผมหวังว่าสิ่งที่ผมทำมาตลอดจะช่วยเหลือทีมในการเจอกับ เยอรมัน พวกเขาคือคือหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในโลก แต่พวกเขาก็มีจุดอ่อนและเราพร้อมสำหรับการเจอกับพวกเขา ถ้าเรารวมเป็นหนึ่งเดียว เราสามารถโค่นพวกเขาได้”
ได้เวลาบินสูงเพื่อพิสูจน์ตัวเองกันอีกแล้ว!