ลิเวอร์พูล 1-0 แมนฯ ซิตี้: ชำแหละ 5 ประเด็นร้อนหลังชัยชนะของ หงส์แดง เหนือ เรือใบสีฟ้า
โดย โตมร นวลประเสริฐ
รายการ: ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2022/23
วันแข่งขัน: วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2022
ผลการแข่งขัน: ลิเวอร์พูล 1-0 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
สนาม: แอนฟิลด์
1. การออกสตาร์ทที่เยือกเย็น
เกมระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ครั้งนี้กลายเป็นการออกสตาร์ทที่แตกต่างไปจากที่ผ่านๆ มาเมื่อทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไม่ได้หาหน้าเข้าห้ำหั่นกันดุเดือดนักในครึ่งแรก พวกเขาต่างประวิงเวลาดูเชิงซึ่งกันและกัน และไม่ต้องการที่จะตกเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำไปก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ภาพรวมของ 45 นาทีแรกเป็น ซิตี้ ที่ดูเหลื่อมกว่าเล็กน้อยจากสัดส่วนการครอบครองบอลและสร้างโอกาสทำประตูได้มากกว่าเจ้าถิ่น แม้ว่าจะไม่ได้เป็นโอกาสที่ถนัดถนี่นักก็ตาม
2. ไฮบริด 4-3-3 และ 3-3-4 ของ เป๊ป
เป๊ป กวาร์ดิโอลา มักบิดแท็คติกเล็กๆ น้อยๆ ทุกครั้งในเกมบิ๊กแมตช์ และนัดนี้เขาก็ใส่ใจในรายละเอียดจัดทัพด้วยรูปแบบการเล่น 4-3-3 เป็นหลักในเกมรับ แต่การที่ นาธาน อาเก้ รับบทแบ็คซ้ายโดยมี ชูเอา คันเซโล ประจำการที่แบ็คขวาทำให้เกมรุกของ เรือใบสีฟ้า ขยับเป็น 3-3-4 หรือ 3-2-5 ในบางคราว
อาเก้ ปักหลักที่แดนหลังร่วมกับ รูเบน ดิอาส และ มานูเอล อคานยี โดยมี แบร์นาร์โด้ ซิลวา กับ โรดรี ปักหลักเป็นฐานที่แดนกลาง อิลคาย กุนโดกัน ทะยานลอยสูงสอดเติมสู่พื้นที่สุดท้าย และ คันเซโล ดอดเติมขับเคลื่อนที่กราบขวา คีย์แมนอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ เคลื่อนที่สอดประสานร่วมกับ เออร์ลิง ฮาลันด์ และ ฟิล โฟเด้น
3. 4-2-3-1 ของ คล็อปป์ ขันเกม
ให้หลังจากรูปแบบการเล่น 4-2-3-1 ทำให้เกมรับของ ลิเวอร์พูล แน่นหนาขึ้นในช่วงหลังทำให้ คล็อปป์ จัดทัพด้วยรูปแบบดังกล่าวต่อเนื่องรับมือกับ เรือใบสีฟ้า
จุดที่แตกต่างไปจาก 4-3-3 เดิมคือการมี เจมส์ มิลเนอร์ ปักหลักที่ตำแหน่งแบ็คขวา โดยแข้งวัย 36 ปีไม่ได้มีส่วนร่วมกับเกมรุกนักขณะที่มิดฟิลด์คู่กลาง ฟาบินโญ กับ ติอาโก้ อัลคันทารา ยืนประสานเป็นเกราะป้องกันแบ็คโฟร์ชั้นแรก
โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน เคลื่อนที่อยู่ด้านหลัง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ถูกดันไปเป็นกองหน้าตัวเป้าโดยมี ดิโอโก้ โชต้า กับ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ปั้นเกมที่ริมเส้นทั้ง 2 ฝั่ง
4. จุดเปลี่ยนประตูที่ถูกริบของ ฟิล โฟเด้น
เกมใน 45 นาทีหลังเข้มข้นมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด พลพรรรค เร้ดแมชีน ชัดเจนในความพยายามตั้งรับอย่างแน่นหนาเพื่อรอจังหวะสวนกลับ ขณะที่ทัพ ซิตีเซนส์ เป็นฝ่ายครอบครองบอลขโยกเข้าใส่ พยายามเร่งเกมให้เร็วยิ่งกว่าในครึ่งแรก
ความพยายามของ ซิตี้ มาสำเร็จเอาที่สุดตั้งแต่นาทีที่ 53 เมื่อ เดอ บรอยน์ แทงคิลเลอร์พาสให้ ฮาลันด์ หลุดไปบวก 50/50 กับ อลิสซอน เบ็คเกอร์ บอลทะลักมาเข้าทาง โฟเด้น ซ้ำในระยะเผาขนยัดใส่ โจ โกเมซ บอลไปซุกที่ก้นตาข่าย
ประตูดังกล่าวอาจสร้างความลำบากให้กับเจ้าถิ่นในช่วงเวลาที่เหลือเมื่อพวกเขาจะถูกบีบบังคับให้เปิดเกมรุกเข้าใส่เพื่อทวงประตูคืน เคราะห์ดีสำหรับทีมของ คล็อปป์ ที่ลูกยิงของ โฟเด้น กลายเป็นโมฆะที่ช็อตตั้งต้นของ ฮาลันด์ ที่แย่งบอลจาก ฟาบินโญ ถูกจับเป็นลูกฟาวล์ไปเสียก่อน
5. ความผิดพลาดเสี้ยววินาทีตัดสินเกม
การประสานงานเพียง 2 จังหวะของ ลิเวอร์พูล ที่ตั้งต้นจากการที่ อลิสซอน ออกมาตัดลูกฟรีคิกของ เดอ บรอยน์ สำเร็จ นายด่าน บราซิเลียน ไหวพริบยอดเยี่ยมวางบอลให้ ซาลาห์ ที่ห้อยอยู่ด้านบนทันที เหลี่ยมจับบอลจังหวะแรกของสตาร์ อียิปต์ กิน คันเซโล เสียท่า พลิกบอลหนีกองหลัง โปรตุเกส ทะยานไปล่อเป้า เอแดร์ซอน อย่างเด็ดขาด กลายเป็นประตูโทนตัดสินผลการแข่งขันของเกมที่ แอนฟิลด์