แชมป์ เอฟเอคัพ กับฟ้าหลังฝนของ ลิเวอร์พูล - OPINION

Chelsea v Liverpool: The Emirates FA Cup Final
Chelsea v Liverpool: The Emirates FA Cup Final / Chris Brunskill/Fantasista/GettyImages
facebooktwitterreddit

การคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ ของ ลิเวอร์พูล เมื่อคืนนี้คือบทพิสูจน์อย่างหนึ่งของคำว่า "ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ" ได้เป็นอย่างดี

ก่อนเริ่มซีซัน 2021-2022 พวกเขาถูกวางให้เป็นเต็ง 3-4 ในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก จากผลงานอันเกือบจะไม่ได้ไปเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อซีซันที่แล้ว ซึ่งใครหลายคนมองว่าอาจจะถึงเวลา "ขาลง" ของ หงส์แดง ซะแล้วกระมัง

ยิ่งการเสริมทัพหน้าร้อนที่ทำเอาแฟนบอลต่างหัวร้อนไปตาม ๆ กัน ทั้ง ๆ ที่เมื่อฤดูกาลก่อนคุณแทบเอาตัวไม่รอด และเสียกองกลางคนสำคัญอย่าง จีนี ไวจ์นัลดุม ไปแต่กลับได้ อิบราฮิมา โคนาเต้ เข้ามาเพียงคนเดียวจากการทุ่มเงินอันจุ๋มจิ๋มแค่ 34 ล้านปอนด์ ในขณะที่ทีมลุ้นแชมป์อื่น ๆ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวบเอา เจดอน ซานโช, ราฟาแอล วาราน และ คริสเตียโน โรนัลโด้ มาเสริมทัพ

Cristiano Ronaldo, Jadon Sancho
Manchester United v Tottenham Hotspur - Premier League / James Gill - Danehouse/GettyImages

ไหนจะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ที่ได้ตัวพ่อของวงการอย่าง แจ็ค กรีลิช (100.5 ล้านปอนด์) และ โรเมลู ลูกากู (98 ล้านปอนด์) มาเสริมเขี้ยวเล็บให้กับทีม มิพักเมื่อหันไปทาง อาร์เซนอล ก็ใช้เงินไป 100 กว่าล้านปอนด์ดึงเอาแข้งอย่าง เบน ไวท์, อารอน แรมส์เดล และ มาร์ติน โอเดการ์ด ในการสร้างทีมใหม่

สถานการณ์อันยำแย่เมื่อซีซันก่อนทำให้แฟนบอลของ ลิเวอร์พูล หวังว่าพวกเขาจะมีดีลใหญ่ตามมาตราบใดที่ตลาดซื้อขายยังไม่ปิดทำการ เพราะการได้แค่ โคนาเต้ ตัวเดียวคงไม่เพียงพอจะไปต่อกรกับชาวบ้านเขาได้

แต่แล้ว FSG และ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ทำให้แฟนบอลผิดหวังเมื่อไร้เงาแข้งแนวรุกหรือกองกลางตัวใหม่ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะต้องใช้ผู้เล่นชุดเดิมลงสนามเพื่อกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้ง แม้จะได้ เวอร์จิล ฟาน ไดค์, โจเอล มาติป และ โจ โเกมซ กลับมาก็ตามที

Virgil van Dijk, Joel Matip
Newcastle United v Liverpool - Premier League / Chris Brunskill/Fantasista/GettyImages

ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อหรอกว่าทีมของนายใหญ่วัย 55 ปีจะอาจหาญขึ้นมามีลุ้นถึง 4 แชมป์ในช่วงปลายฤดูกาล เอาแค่ไม่หลุดท็อปโฟร์พวกเขาก็พอใจมากแล้ว

อย่างไรก็ตามรากฐานที่แข็งแกร่งที่ว่างเอาไว้ในช่วง 2-3 ปีหลังก็ยังคงทำงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งการระเบิดฟอร์มในซีซันที่ 2 ของ ดิโอโก้ โชต้า และ ติอาโก้ อัลคันทารา นี่คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาทำผลงานได้ดี

สไตล์ของ ลิเวอร์พูล ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกเขาเล่นเกมรุก เพรสซิง และพยายามครองบอลให้มากกว่าคู่ต่อสู้ ใช้จังหวะฉาบฉวยในการเข้าทำ ในขณะที่แผงหลังกลับมาแน่นปึ๊กบวกกับการมาของ โคนาเต้ ทำให้มีตัวเลือกมากขึ้น ไหนจะการแจ้งเกิดของเจ้าหนู ฮาร์วีย์ เอลเลียต ที่เข้ามาเป็นแบ็คอัพในแดนหน้า

Luis Diaz
Chelsea v Liverpool: The Emirates FA Cup Final / Marc Atkins/GettyImages

สิ่งที่เกิดขึ้นคือพวกเขาทำผลงานดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อได้ หลุยส์ ดิอาซ เข้ามาสู่ทีมในเดือนมกราคมยิ่งทำให้ ลิเวอร์พูล แข็งแกร่งมากขึ้นและกลายเป็นทีมที่มีอาวุธในการจู่โจมที่หลากหลาย

ในอีกแง่หนึ่งเมื่อตัวเลือกพร้อมสรรพ คล็อปป์ ก็พยายามหมุนเวียนนักเตะเพื่อรักษาสมดุลและไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บ แน่นอนว่าเขาเน้น พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์ลีก แต่กลายเป็นว่าแข้งสำรองกลับทำผลงานได้ดีเกินคาดเมื่อได้รับโอกาส ทำให้ทีมมีลุ้นทุกถ้วยที่ลงเล่น ผิดกับซีซันที่แล้วที่ต้องภาวนาทุกเกมว่าขออย่าให้มีใครได้รับบาดเจ็บอะไรเลย

ความสมบูรณ์แบบก่อตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้โครงสร้างอันแข็งแกร่งที่ถูกวางเอาไว้ เมื่อนักเตะพร้อมทุกอย่างก็เดินหน้าและกลายมาเป็นความสำเร็จใน คาราบาวคัพ และ เอฟเอคัพ อย่างที่เห็น

Kevin De Bruyne, Willy Boly, Conor Coady
Wolverhampton Wanderers v Manchester City - Premier League / Marc Atkins/GettyImages

ใน พรีเมียร์ลีก แม้ว่าพวกเขาจะตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่หากดูจากเม็ดเงินที่ลงทุนไปก็ต้องบอกว่าทำได้ดีเกินคาด เพราะทีมที่เสริมทัพระดับ 100 ล้านปอนด์อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ อาร์เซนอล ยังไม่สามารถไล่กวดพวกเขาได้

มูลค่าของผู้เล่นที่ได้แชมป์ เอฟเอคัพ เมื่อคืนนี้สะท้อนถึงภาพการทำงานของ ลิเวอร์พูล ตลอดช่วง 3-4 ปีหลังได้เป็นอย่างดี ไร้สตาร์ ไร้ผู้เล่นค่าเหนื่อยมหาศาล แต่ระบบแข็งแกร่งและทีมงานที่แน่นปึ๊กภายใต้การนำของยอดกุนซืออย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของโลกฟุตบอลก็ว่าได้

จำได้ว่าตอนที่ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันพา หงส์แดง พ่ายในบ้านติดต่อกัน 6 นัด หลายเสียงบอกว่าเขาหมดแล้ว ตันแล้ว ไม่ไหวแล้ว บางคนถึงขนาดให้พิจารณาหาเฮดโค้ชคนใหม่หลังจบฤดูกาล บ้างก็เปรียบเทียบตอนที่เขาอยู่กับ ดอร์ทมุนด์ ปีสุดท้าย

Jurgen Klopp
Chelsea v Liverpool: The Emirates FA Cup Final / Sebastian Frej/MB Media/GettyImages

หากแต่ คล็อปป์ ไม่ยอมแพ้และเขาเชื่อมั่นในทีมงานและแผนงานที่วางเอาไว้ รอเวลาที่ทุกอย่างกลับมาเข้าที่เข้าทาง เมื่อนั้นคำสบประมาทเหล่านี้ก็จะหายไปเอง

และสุดท้ายเขาก็ตอบทุกคำถามด้วยการช่วยพา ลิเวอร์พูล เป็นดับเบิ้ลแชมป์ไปแล้ว เหลือเพียงถ้วยใหญ่อย่าง ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า

ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะเป็นการตอกย้ำความมายของคำว่า "ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ" ได้อย่างชัดเจน


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด