แมนยู 4-3 ลิเวอร์พูล (AET): เก็บตกประเด็นหลังเกมแดงเดือดสุดมัน ''ปีศาจแดง'' พลิกเฮเขี่ย ''หงส์แดง'' ร่วง เอฟเอ คัพ
- ลิเวอร์พูล ยังเหลือให้ลุ้นอีกสองถ้วยในฤดูกาลนี้ (พรีเมียร์ลีก และ ยูโรปา ลีก)
- แมนฯ ยูไนเต็ด จะเจอกับ โคเวนทรี ในรอบรองชนะเลิศ
รายการ | เอฟเอ คัพ 2023/24, รอบ 8 ทีมสุดท้าย |
---|---|
วันแข่งขัน | วันอาทิตย์ ที่ 17 มีนาคม 2024 |
สนาม | โอลด์ แทรฟฟอร์ด |
ผลการแข่งขัน | แมนฯ ยูไนเต็ด 4-3 ลิเวอร์พูล (90 นาทีเสมอ 2-2) |
แดงเดือดที่เอ็นเตอร์เทนสุด ๆ
พูดกันหลายเสียงว่านับตั้งแต่หมดยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ศึกแดงเดือด ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปะทะ ลิเวอร์พูล มันมักไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่
ภาพจำคือ เพราะ ลิเวอร์พูล เฉพาะอย่างยิ่งในยุค เยอร์เก้น คล็อปป์ มักจะเป็นฝ่ายบุกกระหน่ำใส่ ยูไนเต็ด ซะมากกว่า หรือกดอยู่ข้างเดียวโดยที่ ''ปีศาจแดง'' ไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นมาหายใจ เพราะเอาแต่ตั้งรับและเน้นผล
แดงเดือดขบวนล่าสุด ถือเป็นแดงเดือดที่สนุกและโคตรมันสุด ๆ ในรอบหลาย ๆ ปีเลยนะครับ
1. แมนฯ ยูไนเต็ด ในฐานะเจ้าถิ่น ไม่ได้แสดงความเกรงกลัวต่อผู้มาเยือนอย่าง ลิเวอร์พูล เลย
2. ทั้งสองฝ่ายเปิดหน้าบุกใส่กันตั้งแต่เริ่มเกมจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ
3. เกมพลิกไปพลิกมา มีดราม่าให้เห็น ยูไนเต็ด ที่ดูเหมือนว่าจะคาบ้านแต่ก็เอาตัวรอดกลับมาได้อย่างเหลือเชื่อ
4. สถิติระบุว่า ทั้งสองทีมสับไกรวมกันไปทั้งหมด 53 ครั้ง และตรงกรอบรวมกันทั้งหมด 22 ครั้ง!
แบ่งเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ยิง 28 ครั้ง ตรงกรอบ 11 ครั้ง และ ลิเวอร์พูล ยิง 25 ครั้ง ตรงกรอบ 11 ครั้ง
ยืมวลีสุดคลาสสิคของ เฟอร์กี้ มาพูดหน่อยล่ะครับ..... ''Football eh? Bloody Hell !'' (ฟุตบอล แม่XXXXX โคตรบ้าเลยว่ะ!!!)
ลิเวอร์พูล ปิดเกมไม่ได้
หนึ่งในเหตุผลที่ทำไมพวกเขาถึงพ่ายแพ้ในเกมนี้ นั่นก็เพราะว่า ทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ ไม่สามารถปิดเกมได้
พูดง่าย ๆ คือ พวกเขาฆ่า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ตายนั่นเอง
พวกเขามีโอกาสที่จะหนีห่างไปเป็น 3-1 แต่พวกเขาทำไม่ได้เอง แถมขึ้นนำ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปถึง 2 ครั้ง
เมื่อคุณไม่สามารถปิดเกมได้ ปล่อยให้คู่แข่งยังมีลมหายใจ อีกทั้งยังมาก่อความผิดพลาดเองอีกต่างหาก จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรที่คุณจะถูกคู่แข่งลงโทษ
พวกเขาต้องโทษตัวเอง
ใช้ใจมากกว่าแท็คติก
ฟุตบอลบางครั้งมันไม่ใช่แค่แท็คติกอย่างเดียว แต่คุณจำเป็นต้องใส่ทัศนคติและใจลงไปเล่นด้วย
ในแง่ของแท็คติก ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ดีกว่าค่อนข้างชัดเจน ขณะที่ทีมของ เอริค เทน ฮาก มักเปิดพื้นที่ให้กับทีมเยือนได้เจาะเข้ามาง่าย ๆ เฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ตรงกลางที่เปิดช่องว่างขนาดใหญ่มาก ๆ
โชคดีที่ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถปิดเกมได้
แมนฯ ยูไนเต็ด มักถูกตั้งคำถามในเรื่องของการใส่ใจลงไปในเกม แต่เกมนี้กับ ลิเวอร์พูล พวกเขาแสดงให้เห็นแล้วนะครับว่า ถ้าพวกเขาช่วยกันเล่น ใส่แพสชั่น ใส่ใจ ใส่ความกล้า ใส่ความุ่งมั่น ใส่ความเป็นนักสู้ลงไป พวกเขาก็ทำได้ และทำได้ดีด้วย
ฝันเป็นจริง
อาหมัด ดิยัลโล่ ปีกวัย 21 ปี ถูกส่งลงมาในนาทีที่ 85 แทนที่ของ ราฟาแอล วาราน เขามีส่วนช่วยให้ทีมได้ประตูตามตีเสมอ 3-3 ช่วงต่อเวลาพิเศษ จากจังหวะที่ไปดักทางเปิดบอลของ ดาร์วิน นูเญซ ก่อนจะมาสวมบทเป็นฮีโร่ซัดให้ทีมแซงชนะ 4-3
ถือเป็นประตูแรกของเขากับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในรอบ 3 ปีเศษ นับตั้งแต่เกม ยูโรปา ลีก ที่ยิงให้ ปีศาจแดง เปิดบ้านเสมอ เอซี มิลาน 1-1 เมื่อเดือน มีนาคม 2021
''เป็นเกมที่เหลือเชื่อสุด ๆ! วันนี้เราสมควรได้รับชัยชนะ เราเล่นได้ดีมาก มันเป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของฤดูกาล มันเป็นประตูที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลยล่ะ มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญจริง ๆ'' ดิยัลโล่ เปิดใจหลังเกม
''คุณต้องเชื่อมั่นในทุก ๆ ช่วงเวลา นี่คือฟุตบอล ตอนที่ การ์นาโช่ ส่งบอลมาให้ผม ผมก็อยากจะส่งบอลคืนไปให้เขา แต่จังหวะนั้นมันเป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ ในการลุ้นทำประตู ผมผิดหวังที่ถูกไล่ออก แต่สิ่งสำคัญคือชัยชนะ การเอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ถือเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่สุด ๆ สำหรับผมเลยล่ะ''