วินิซิอุส ซัดโทนดับซ่า ลิเวอร์พูล ส่ง เรอัล เถลิงแชมป์ ยุโรป สมัยที่ 14 - Match Report
การแข่งขัน: ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2021/22 รอบชิงชนะเลิศ
วันแข่งขัน: คืนวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2022
เวลาแข่งขัน: 02:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : เรอัล มาดริด 1-0 ลิเวอร์พูล
สนาม: สตาด เดอ ฟรองส์
ลิเวอร์พูล: [4-3-3] อลิสสัน; อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โคนาเต้, ฟาน ไดจ์ค, โรเบิร์ตสัน; เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ, ติอาโก้; ซาลาห์, มาเน่, ดิแอซ
สำรอง: เคลเลเฮอร์, มิลเนอร์, เกอิต้า, เฟอร์มิโน่, โกเมซ, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, โจนส์, มินามิโนะ, โชต้า, ซิมิกัส, มาติป, เอลเลียต
เรอัล มาดริด: [4-3-3-] กูร์ตัวส์; การ์บาฆาล, มิลิเตา, อลาบา, เมนดี้; คาเซมิโร, โครส, โมดริช; บัลเบร์เด้, วินิซิอุส จูเนียร์, เบนเซมา
สำรอง: ลูนิน; มาร์เซโล, นาโช; เซบาญอส, กามาแว็งก้า, อิสโก; ลูคัส, อาซาร์, อเซนซิโอ, เบล; โรดริโก, มาริอาโน
หลังดีเลย์กันมาร่วม 40 นาที ในที่สุดเสียงนกหวีดก็ดังขึ้นโดยที่ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายเริ่มเล่นก่อน
เรอัล มาดริด ยินดีที่จะให้ลูกทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ เดินเกมบุกเข้าใส่เพื่อรอหาจังหวะสวนกลับด้วยบอลยาวให้กับ วินิซิอุส ที่ดูจะเป็นแทคติกที่ยังแผลงฤทธิ์ไม่ออก ขณะที่อีกฝ่ายมีแต่จะอันตรายขึ้นเรื่อยๆ
โอกาสยิงเข้ากรอบแรกของ ลิเวอร์พูล มาในนาทีที่ 15 เมื่อ เทรนต์ เติมเข้ามาจนถึงกรอบเขตโทษก่อนจะตบเข้ามาให้ ซาลาห์ ได้สะกิดไปติดเซฟ กูร์ตัวส์
ก่อนจะตามมาติดๆกับลูกยิงปั่นโค้งของ ติอาโก้ ที่ยังไม่ผ่านมือนายประตูชาว เบลเยียม
นาทีที่ 17 ดิอาซ กระชากมาเปิดให้ ซาลาห์ ได้สับไกไปตรงตัว กูร์ตัวส์
อีกไม่กี่อึดในต่อมาถึงทีของ มาเน่ ที่ล็อคหลบผู้เล่น เรอัล มา 2-3 คน ก่อนจะบรรจงยิงเลียดๆไปทางเสาไกลให้ กูร์ตัวส์ ได้โชว์ซูเปอร์เซฟ
การที่แนวรุกสามประสานของ หงส์แดง สลับหมุนเวียนตำแหน่งกันอยู่เรื่อยๆดูจะทำเกมรับของ เรอัล ปั่นป่วนมากพอสมควร
การขึ้นเกมทาง วินิซิอุส เป็นไปได้ลำบากเพราะเจ้าตัวมักจะเจอซ้อนสองคนเสมอ
เมื่อสกอร์ยังอยู่ที่ 0-0 เรอัล ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรที่จะทำประตูนัก พวกเขาพยายามถ่ายบอลไปรอบๆและรอโอกาสอย่างใจเย็น แม้บ่อยครั้งจะลงเอยด้วยการไปเสียบอลในจังหวะสุดท้ายก็ตาม
นาทีที่ 33 เป็น เทรนต์ อีกครั้งที่หาจังหวะหวดเปิดบอลไปจนถึง ซาลาห์ ได้โหม่งไปตรงตัว กูร์ตัวส์ อย่างน่าเสียดาย
ท้ายครึ่งแรก เรอัล เกือบได้เฮก่อน เมื่อบอลยาวมาถึง คาริม เบนเซมา ได้ดวลกับ อลิงซง และ โรเบิร์ตสัน แต่เจ้าตัวพลิกส่งคืนหลัง ก่อนจะได้บอลคืนมาแล้วสับไกส่งบอลเข้าประตูโล่งๆไปเลย แต่ทว่าหลังเช็ค VAR แล้ว หัวหอกวัยเก๋าอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าที่จังหวะที่สอง
เรอัล มาดริด เริ่มต้นครึ่งหลังด้วยรูปแบบการเล่นที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
แต่แม้จะเล่นเกมบุกมากขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้เร่งเกมจนเกินไปเพื่อป้องกันการเสียบอลง่ายๆในแดนคู่แข่ง เมื่อเดินหน้าต่อไม่ได้ก็ไม่ฝืนและเน้นถ่ายบอลไปขึ้นเกมทางอื่นแทนดูบ้าง
นาทีที่ 59 เรอัล ขึ้นนำแล้วเมื่อ คาร์บาฆาล เลี้ยงดึงตัวประกบมา ก่อนจะปล่อยบอลให้ บัลเบร์เด้ เปิดไปถึง วินิซิอุส แทปอินนิ่มๆ โดยที่จังหวะนี้ เทรนต์ ต้องรับไปเต็มๆ
ตัดกลับมาที่ ลิเวอร์พูล บ้าง กับโอกาสยิงเต็มข้อล่อเต็มแข้งของ ซาลาห์ ในนาทีที่ 65 ที่ยังไม่ผ่านมือ กูร์ตัวส์ อีกอยู่ดี - นี่เป็นวันของเขาจริงๆนั่นแหละ
ลิเวอร์พูล ไม่รอช้าขยับเปลี่ยนตัวส่ง โชต้า ลงมาแทน ดิอาซ
นาทีที่ 67 โอกาสของ ลิเวอร์พูล เมื่อ เฮนเดอร์สัน เปิดบอลไปถึง โชต้า โขกชงมาทาง ซาลาห์ ที่ปรี่เข้ามาหวังสะกิดบอลให้เข้าประตู แต่ก็ยังไม่ผ่านด่าน กูร์ตัวส์ ที่มาบล็อคไว้ได้
ท้ายเกม ลิเวอร์พูล ได้โอกาสหลายหนทั้งจาก โชต้า และ ซาลาห์ แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรอดีตมือกาวของ เชลซี ที่โชว์ฟอร์มสมควรแก่รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกมคนนี้ได้เลย
หมดเวลา 90 นาที ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายปราชัย ขณะที่ คาร์โล อันเชล็อตติ นำ มาดริด คว้าดับเบิลแชมป์มาครองได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่กลับมาคุมทีมเลย