เกินปุยมุ้ย! โรดรีโก้ เบิ้ลทดเจ็บ ก่อน เบนเซมา ซัดโทษต่อเวลาดับ แมนฯ ซิตี้ พา เรอัล มาดริด ชน ลิเวอร์พูล รอบชิง
การแข่งขัน: ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2021/22 รอบรองชนะเลิศ
วันแข่งขัน: คืนวันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2022
เวลาแข่งขัน: 02:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการคู่แข่งขัน : เรอัล มาดริด 3-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สกอร์รวม 6-5
สนาม: ซานติอาโก เบอร์นาเบว
เรอัล ออกสตาร์ทเกมไวและเป็นฝ่ายได้โจมตีก่อนจากจังหวะที่ คาร์บาฆาล เปิดบอลเข้าไปถึง เบนเซมา ที่จบไม่ได้ แต่อย่างไรก็เป็นลูกล้ำหน้าไปก่อนแล้วอยู่ดี
นาทีที่ 9 มีชุลมุนเล็กน้อยเมื่อ เดอ บรอยน์ โดน คาเซมิโร เล่นงานจนล้มลงไปกองกับพื้นแต่ผู้ตัดสินไม่ว่าอะไร จนนำไปสู่การโต้เถียงอย่างออกรสจากผู้เล่นทั้งสองฝ่ายและจบลงด้วยการที่ โมดริช และ ลาปอร์ต ได้รับใบเหลืองไปคนละใบ
อึดใจต่อมา มาห์เรซ ลองยิงไกลดู แต่บอลพุ่งไปตรงตัว คูร์ตัวส์
อีกโอกาสที่จะแจ้งเป็นของเจ้าบ้านเมื่อ คาร์บาฆาล ประสานงานกับ บัลเบร์เด้ ได้โยนไปถึง เบนเซมา อีกครั้ง โดยที่คราวนี้ไม่ล้ำหน้าแต่หัวหอกเลือดน้ำหอมซัดเหินข้ามคานออกไปเองอย่างน่าเสียดาย
วินิซิอุส ดูจะเล่นงาน วอล์คเกอร์ได้มากพอสมควรด้วยความเร็วของเขา แต่บอลสุดท้ายจากแข้งชาว บราซิล ก็ไม่ค่อยไปถึงไหนและมักจะถูกหยุดยั้งเอาไว้ได้โดยแนวรับของ ซิตี้
ทีมเยือนไม่ได้เ่ลนเกมเปิดมากนักและพยายามเน้นครองเกมด้วยการผ่านบอลไปรอบๆอย่างใจเย็น ซึ่งตรงกันข้ามกับลูกทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ
กระนั้นโอกาสของ ซิตี้ ก็มาเรื่อยๆแล้วทั้งจากฮาล์ฟวอลเลย์จาก แบร์นาโด ซิลวา ในนาทีที่ 20 ที่โดนเซฟ ไปจนถึงอีกลูกยิงของ เฆซุส ที่หลุดกรอบออกไปเอง โดยที่ทั้งสองโอกาสมาจากการถวานพานให้ของ เดอ บรอยน์ ทั้งสิ้น
ช่วงท้ายครึ่ง เรอัล เป็นรองอย่างชัดเจนและงานหนักก็ดูจกตกไปอยู่ที่นายประตูชาว เบลเยียมของพวกเขาขณะที่อีกฟาก เอแดร์ซอน ยังไม่ต้องออกแรงเซฟเลย
45 นาทีหลังเริ่มขึ้นแล้วและ คาร์บาฆาล ก็ไม่รอช้าเติมมาโยนบอลทักทาย ซิตี้ ทันที แต่แนวรับของทีมเยือนยังเอาอยู่ทั้งกับจังหวะนี้และลูกซ้ำของ วินิซิอุส ด้วย
นาทีที่ 49 เฆซุส ล็อคหนี คาเซมิโร ก่อนจะสับไกไปให้ คูร์ตัวส์ ได้เซฟ - ตอนนี้ทั้งคู่มีโอกาสยิง 7 ครั้งเท่ากัน แต่ เรอัล ยังไม่เข้ากรอบเลยส่วน ซิตี้ นั้นยิงเข้ากรอบไปถึง 5 ครั้งแล้ว
นาทีที่ 51 วินิซิอุส ใช้ความเร็วลากเลื้อยมาจนสุดเส้นก่อนตบเข้ากลางให้ โมดริช จับบอลไม่ดียิงไปติดบล็อคผู้เล่น ซิตี้
มาถึงจุดนี้ เรอัล ดูดีกว่าเล็กน้อย แต่บอลในจังหวะสุดท้ายยังคงโดน ซิตี้ กินเรียบ เช่นเดียวกับ เบนเซมา ที่หายไปจากเกมเลย
มาถึงนาทีที่ 70 วอล์คเกอร์ เข้าไปชน วินิซิอุส จนกลิ้งแต่ตัวเองเอาขาลงผิดท่าแล้วเจ็บจนไม่สามารถเล่นต่อได้ ซิตี้ ต้องขยับส่ง กุนโดกัน ลงมาแทน
นาทีที่ 73 ทีมเยืนขึ้นนำแล้ว 0-1 เริ่มต้นที่การต่อบอลจากแนวหลังของ ซิตี้ ถ่ายขึ้นหน้ามาอย่างรวดเร็วถึง ซิลวา วิ่งดึงตัวประกบก่อนแตะออกขวาให้ มาห์เรซ ทะยานมาซัดเต็มข้อติดไซร้นิดๆพุ่งเข้าไปตุงตาข่าย
อันเชล็อตติ เปลี่ยนตัวเพิ่มทัมทีอีกสองตำแหน่ง ส่ง กามาแว็งก้า และ อเซนซิโอ ลงมาแทน โมดริช และ คาเซมิโร เพราะต้องการประตูคืนอีกอย่างน้อยสองลูก
นาทีที่ 86 ซิตี้ มีลุ้นทิ้งห่างจากโอกาสยิงของ คันเซโล ที่ก็เป็น คูร์ตัวส์ ที่ช่วยเซฟเอาไว้ได้อีกครั้ง
ความหวังยังมี เรอัล ไล่มาเป็น 1-1 นาทีที่ 90 จากบอลยาวของ กามาแว็งก้า ถึง เบนเซมา จบเข้ากลางให้ โรดรีโก้ ชาร์จจ่อๆ
หากยังไม่หนำ เรอัล ขอบวกเพิ่มอีกลูกเมื่อ คาร์บาฆาล เติมมาเปิดให้ โรดรีโก้ คนเดิมได้เทคตัวเหนือสองเซ็นเตอร์โขกบอลเข้าไปพร้อมกับสกอร์รวมที่เสมอกันแล้ว
ปิดท้ายเกมด้วยอีกหนึ่งโอกาสทองของ โรดรีโก้ ที่ เอแดร์ซอน เซฟเอาไว้ได้กับอีกหนึ่งลูกยิงจาก โฟเดน ที่ข้ามคานออกไปเอง
ต่อเวลาพิเศษ
เริ่มมาไม่ทันไร เบนเซมา แผลงฤทธิ์เสียแล้ว หลังโดน ดิอาส ทำฟาวล์ล้มลงในกรอบเขตโทษก่อนจะลุกมายิงด้วยตัวเองส่งให้ เรอัล มาดริด ขึ้นนำด้วยสกอร์ 3-1 และสกอร์รวมที่ 6-5
ซิตี้ ยังช็อคไม่หายตั้งเกมไม่ขึ้นและสร้างโอกาสจังๆได้แค่ช่วงทดเจ็บของครึ่งแรกของช่วงต่อเวลาเมื่อ คันเซโล เปิดให้ โฟเดน โหม่งไปให้ คูร์ตัวส์ ได้ปัดปลายมือไปเข้าทาง แฟร์นานดินโญ เติมมาจิ้มจ่อๆชนเสาออกไปเองอย่างน่าเสียดาย
ครึ่งเวลาหลังทีมเยือนทำอะไรไม่ได้และจำต้องเป็นฝ่ายก้มหน้ารับความพ่ายแพ้ไป
คะแนนนักเตะทั้งสองทีม
เรอัล มาดริด : คูร์ตัวส์ (8), นาโช (6), มิลิเตา (6), คาร์บาฆาล (7), เมนดี้ (6), โครส (6), โมดริช (5), คาเซมิโร (5), บัลเบร์เด้ (5), วินิซิอุส (7), เบนเซมา (9)
ตัวสำรอง : โรดรีโก้ (10), กามาแว็งก้า (9), อเซนซิโอ (6), เซบาญอส (6), บาสเกวซ (N/A), บาเญโฆ (N/A)
แมนฯ ซิตี้ : เอแดร์ซอน (5), ลาปอร์ต (4), ดิอาส (5), วอล์คเกอร์ (7), คันเซโล (6), โรดรี้ (6), แบร์นาร์โด้ (7), เดอ บรอยน์ (7), มาห์เรซ (8), โฟเด้น (6), เชซุส (5)
ตัวสำรอง : กุนโดกัน (5), ซินเชนโก (5), กรีลิช (4), แฟร์นันดินโญ (6), สเตอร์ลิง (5)
ความมั่นใจของ กวาร์ดิโอลา ทำพัง
มีหลายจุดเปลี่ยนมากในเกมนี้ที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ขาก้าวเข้าไปในรอบชิงแล้วข้างนึงถูกกระชากกลับออกมา ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บของ ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่กำลังเล่นได้ดีมากและทำเอา วินิซิอุส ความอันตรายหดหายไปเป็นกอง ไปจึงการเปลี่ยนตัวของ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่เอา คาเซมิโร ออกและส่ง กามาแว็งก้า ลงมา
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความมั่นใจของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่เลือกถอดตัวหลักอย่าง มาห์เรซ และ เฆซุส ออกจากสนามเพราะน่าจะคิดว่าต้นสังกัดของตัวเองคงเข้ารอบอย่างแน่นอนแล้วจนทำให้โมเมนตั้มของเกมเปลี่ยนไป
แข้งสำรองพยายามใช้พลังงานที่มีไปกับการเดินเกมรุกเข้าใส่เจ้าบ้านต่อเรื่อยๆ ทั้งๆที่ในอีกหลายจังหวะควรจะเผาเวลาและเน้นครองเกมเหมือนช่วงครึ่งแรกมากกว่าก่อนท้ายที่สุดมันก็นำไปสู่การปราชัยของทีมตัวเองและเป็นอีกปีที่ ซิตี้ ต้องกินแห้วในรายการ ยุโรป