จุดจบมีรออยู่แล้วปลายทาง : 5 สัญญาณที่บอกว่า เอริค เทน ฮาก จะโดน แมนยู ปลดกลางทาง...และไม่นานนี้ - OPINION
• แมนฯ ยูไนเต็ด หมดลุ้นแชมป์ทุกรายการ ยกเว้นที่อยู่ในฝันฟุ้งๆ อย่าง เอฟเอ คัพ
• ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นสัญญาณที่บอกว่า เอริค เทน ฮาก จะโดนปลดกลางทาง ในอีกไม่ช้าไม่นาน
หนึ่งคือผลงานน่าผิดหวัง ความถดถอยที่เกิดขึ้นในซีซั่นนี้ สองคือการสูญเสียคุณสมบัติอย่างความ "แข็งในบ้าน" ที่เคยเชิดหน้าชูตาในซีซั่นก่อน และสามก็คือ เอริค เทน ฮาก เองก็ยอมรับไว้แล้วว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไม่มีวันเล่นได้ไหลลื่นทรงประสิทธิภาพเหมือน อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ยุคของเขา ซึ่งเมื่อบวกนั่นเข้ากับนี่ และบวกกับนี่กับนั่น ก็ล้วนแต่มองผลลัพธ์ออกได้อย่างเดียว... เทน ฮาก จะโดนปลดกลางทาง ในอีกไม่นานเกินรอ
นับวันยิ่งสับสน
แผลใหญ่ถูกเปิดอย่างกระจ่างชัดในเกมแพ้ แมนฯ ซิตี้ เมื่อสุดสัปดาห์ ซึ่งหลายๆ ฝ่ายมีการตั้งคำถามทั้งกับการจัดทีม การวางแท็กติก จนถึงการเปลี่ยนตัวของ เอริค เทน ฮาก
• คิดอะไรอยู่ถึงใช้คู่เซนเตอร์แบ็กเป็น จอนนี่ อีแวนส์ - แฮร์รี่ แม็กไกวร์ มาชนกับ เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ ในเมื่อก็ยังมี ราฟาแอล วาราน บนม้านั่งสำรอง
• จะยังดึงดันกับ วิกเตอร์ ลินเดลอฟ ที่ตำแหน่งแบ็กซ้ายไปทำไม เมื่อ เซร์คิโอ เรกีลอน หายเจ็บแล้ว
• บรูโน่ แฟร์นันเดส แทบไม่เคยเล่นดีกับการยืนริมเส้น และเกมนี้จอมทัพอย่างเขาต้องถ่างออกปีกขวา
• กล้าๆ ถอดมิดฟิลด์ตัวรับ โซฟียาน อัมราบัต ออกเมื่อหมดครึ่งแรก
• เป็นอีกครั้งที่ตัวฟอร์มดีอย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ โดนถอดออกทั้งที่เวลายังเหลือ (น.73)
• มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้วิ่งไปวิ่งมาถึง 80 กว่านาที และคนที่ได้ลงมาแทนคือ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ไม่ได้ดีไปกว่ากัน
• ตกลงแล้ว เมสัน เมาท์ นี่ซื้อมาทำไม และตำแหน่งไหนเหมาะสมสุดกันแน่
ฯลฯ และ ฯลฯ
ให้หลังมาแบบที่ความวัวยังไม่ทันจาง ความควายก็ตามมาโถมทับอย่างหนัก กับการแพ้ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด คาบ้านแบบ OUTCLASSED อีกครั้ง ซ้ำซ้อนกันในรอบ 4 วันเท่านั้น
สิ่งที่น่าเจ็บปวดของแฟนๆ ปีศาจแดงมากยิ่งกว่า "แมนเชสเตอร์ดาร์บี้" เสียอีกนั้น คือที่จริงแล้ว เอ๊ดดี้ ฮาว ก็ "ไม่ได้เอาจริง" แต่อย่างใด แกนหลักหลายรายถูกสั่งพัก บ้างไม่มีชื่อ บ้างนั่งสำรอง พร้อมกับเปิดที่ทางให้บรรดาแข้งสำรองได้ลงสนามกันเป็นพรวน โดยเฉพาะเกมรับที่มีทั้ง มาร์ติน ดูบราฟก้า ประตูมือสอง และแนวรับสำรองอย่าง ลูอิส ฮอลล์, พอล ดัมเม็ตต์, เอมิล คราฟธ์ และ ติโน่ ลิฟราเมนโต้
สำรองบานขนาดนี้ แมนยู ก็ยังเล่นกันอย่างสะเปะสะปะ เสีย 2 ประตูเร็ว (ใน 36 นาทีแรก) พร้อมกับสร้างโอกาสจบสกอร์ตรงกรอบแค่ 2 หนถ้วนตลอดเกม
กาทิ้ง คาราบาว คัพ ไปอีกถ้วย ต่อจาก พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ก็ไม่มีทางไปถึงได้อยู่แล้ว
โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รีสอร์ท & สปา
เริ่มต้นที่ความไม่น่าเชื่อประการแรก ว่าหลังจากที่ เอริค เทน ฮาก ได้ทำให้ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เป็นป้อมปราการที่ทุกคู่ต่อสู้ต้องแหยงเมื่อมาเยือนในตลอดซีซั่นก่อน 2022/23 แล้วนั้น ปรากฏว่าทุกอย่างพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิงในเพียงข้ามซีซั่น
- นี่คือเกมเด่นๆ ใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ซีซั่นที่แล้ว
ชนะ ลิเวอร์พูล 2-1
ชนะ อาร์เซน่อล 3-1
ชนะ สเปอร์ส 2-0
ชนะ แมนฯ ซิตี้ 2-1
ชนะ เลสเตอร์ 3-0
ชนะ บาร์เซโลน่า 2-1 (ยูโรป้า ลีก)
ชนะ เชลซี 4-1
พบว่า หลังจากแพ้ เรอัล โซเซียดัด 0-1 ในเกมเปิดหัวรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก เมื่อ 8 ก.ย. 2022 แล้วนั้น ปรากฏว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีสถิติ "ไร้พ่าย 100%" สำหรับการเล่นในบ้าน แบบที่ระหว่างนั้น มีช่วงเช้าเบรคกำชัยติดต่อกันถึง 13 นัดรวด -- นี่คือสถิติที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องยกนิ้วให้ และไม่เคยมีโค้ชหน้าไหนทำสำเร็จเลยภายหลังท่านเซอร์วางมือไป
- ส่วนนี่คือผลงานเล่นเกมเหย้า ซีซั่นนี้
ชนะ วูล์ฟส์ 1-0
ชนะ ฟอเรสต์ 3-2
แพ้ ไบรท์ตัน 1-3
ชนะ คริสตัล พาเลซ 3-0 (บาวคัพ)
แพ้ คริสตัล พาเลซ 0-1
แพ้ กาลาซาตาราย 2-3 (ชปล.)
ชนะ เบรนท์ฟอร์ด 2-1
ชนะ โคเปนเฮเก้น 1-0 (ชปล.)
แพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-3
แพ้ นิวคาสเซิ่ล 0-3
10 นัดเหย้าที่ผ่านไปของซีซั่นนี้ แมนยู ของ เทน ฮาก ชนะ 5 แพ้ 5
สำคัญก็คือ ในขณะที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด กลับเข้าทรง "รีสอร์ท & สปา" เหมือนยุค โอเล่ กุนนาร์ โซลชา / ราล์ฟ รังนิค อีกครั้งแล้ว ปัญหาเกมเยือนที่สาหัสมาตั้งแต่ซีซั่นก่อน ก็ไม่ได้จางหายไปแต่อย่างใด
แพ้นัดเยือน 3 เกมรวดตอนเริ่มต้นซีซั่น (0-2 สเปอร์ส, 1-3 อาร์เซน่อล, 3-4 บาเยิร์น) ส่วนที่พอจะชนะได้ ก็แค่ 2 น้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา (1-0 เบิร์นลี่ย์, 2-1 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด) เท่านั้น
อย่าว่าแต่แชมป์ หัวตารางยังไร้วี่แวว
สิ่งที่ตามมาของการที่ทั้ง "เหย้า" และ "เยือน" ต่างก็ทำได้ไม่ดี ก็คือผลงานประจักษ์ชัดที่กำลังปรากฏ
ตารางคะแนนไม่เคยโกหกใคร : ยืนเพียงอันดับ 8 ของตาราง พรีเมียร์ลีก ด้วยการชนะ 5 แพ้ 5 มีในมือ 15 แต้ม
15 แต้ม...ตามหลังอันดับ 4 ลิเวอร์พูล 8 คะแนน
ส่วนจ่าฝูง สเปอร์ส (ที่ป่านนี้ยังแพ้ไม่เป็น) ไม่ต้องพูดถึง กับการตามหลังไกลโพ้น 11 คะแนน
แล้วก็อย่างที่ว่าไว้หัวข้อข้างต้น ว่า คาราบาว คัพ ต้องขีดฆ่ากาทิ้งไปอีกถ้วย ต่อจาก พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ก็ไม่มีทางไปถึงได้อยู่แล้ว
รายการหลังอาจยังพอมีความเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติ... ก่อนจะพูดถึงแชมป์ เอาว่าดิ้นผ่านรอบแรกให้ได้ก่อน
การแพ้ แมนฯ ซิตี้ เมื่อวันอาทิตย์ ส่งผลให้เป็นความพ่ายแพ้มากนัดสุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในการเริ่มเล่น 10 เกมแรกยุค พรีเมียร์ลีก ต้นยุค 90 เป็นต้นมา โดยซีซั่นที่แย่กว่านี้ต้องย้อนไปถึง 1986/87 ที่ รอน แอตกินสัน พาทีมแพ้ 6 จาก 10 นัดแรกของซีซั่นนั้น จนต้องมีการเปลี่ยนกุนซือให้ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาแทนในเดือน พ.ย.
ส่วนจากการแพ้ นิวคาสเซิ่ล คืนอังคารในบอลถ้วย ก็ทำให้ แมนยู ของ เทน ฮาก แพ้แล้วถึง 8 จาก 15 เกมแรกของซีซั่น (นับรวมทุกรายการ) เป็นหนแรกถัดจากยุคโบราณกาล 1962/63 โน่นเลย
ยิ่งรัก...ยิ่งห่าง
จากวันที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือไปพร้อมแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2012/13 นาทีนั้น ไม่มีใครมองว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะเข้าสู่ยุคตกต่ำราหูอมได้ อย่างแย่ก็คงห่างแชมป์ลีกสักสี่ซ้าห้าปี นั่นก็มากพอแล้ว
แต่ไม่... ณ ตอนนี้ แมนยู กำลังเข้าสู่ปีที่ 11 ของการร้างแชมป์ พรีเมียร์ลีก (ส่วน แชมเปี้ยนส์ ลีก ปาไป 16 ปีแล้ว)
ประเด็นก็คือ ปีที่ 11 แล้ว และยังไม่รู้เลยสักนิดว่าจะต้องบวกเพิ่มไปอีกเท่าไหร่ เมื่อว่ากันตามตรงคือ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ เทน ฮาก ตามหลังทั้ง เรือ-หงส์-ปืน แบบเรียกว่า "มองกันไม่เห็น" ถึงเงาหลัง
แมนฯ ซิตี้ - ครองแชมป์ พรีเมียร์ลีก 3 ปีซ้อน และมีสิทธิ์เป็นทีมแรกที่ทำได้ 4 สมัยติด แถมยังมองเป้าไกลกว่านั้นแล้วด้วย อย่างการป้องกันแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก
ลิเวอร์พูล - หลุดจากมาตรฐานไปจริงในปีก่อน แต่ก็เริ่มกลับมาน่ากลัวแล้วในปีนี้ ซึ่งหลายฝ่ายก็มองว่า หงส์แดงนี่แหละ คู่แข่งตัวจริงของเรือ มากกว่าทีมอื่น
อาร์เซน่อล - มิเกล อาร์เตต้า พลิกฟื้นให้ปืนโตกลับมาแกร่งระดับ "แข็งโป๊ก" จนลุ้นแชมป์ลีกเต็มตัวในปีก่อน และมาปีนี้ก็มีการเสริมทัพที่ดีภายใต้งบ 200 กว่าล้านปอนด์ จน 10 เกมแรกผ่านไปยังไร้พ่าย
ไม่ต้องพูดถึง สเปอร์ส ที่ยังมีคำถามเรื่องการยืนระยะ คำถามคือ แมนยู ตามหลังทั้ง เรือ-หงส์-ปืน ไปกี่ปี...หรือกี่ปีแสงแล้ว คำตอบที่ชัดๆ ไม่มี มีแต่ภาพของการที่ทั้ง 3 คู่แข่งมีแต่จะแข็งแกร่งยิ่งๆ ขึ้นไป ในขณะที่ แมนยู ดูย่ำอยู่กับที่ สะเงาะสะแงะและอาการไม่สู้ดีทั้งที่ลงทุนไปกว่า 400 ล้านปอนด์ในยุค เทน ฮาก
"ผมรู้ดีว่า แมนฯ ซิตี้ เป็นแบบไหนอย่างไร แต่ผมไม่รู้เลยว่า แมนยู ทำอะไรถึงเป็นได้ขนาดนี้" เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ว่าไว้
"จำได้ว่าตอนที่ผมมาถึงแมนเชสเตอร์ พวกเขามีทั้ง มูรินโญ่ และ อิบราฮิโมวิช หรือ ลูกากู ที่ก็เป็นนักเตะระดับท็อป พวกเขาคือทีมระดับท็อปจริงๆ ผมไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ ไม่ได้คาดหวังถึงแบบนี้เลย"
"ซิตี้ของเรา...ทุกคนในทีม ประธาน, ซีอีโอ, ผู้อำนวยการกีฬา, ผู้จัดการทีม, นักฟุตบอล ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกันหมด เวลาแพ้เราก็ต้องมานั่งทำการบ้านร่วมกันว่า มันเกิดอะไรขึ้น เราพลาดตรงไหน ทีมอื่นเก่งขึ้นหรือเราแย่ลง ทุกคนก็จะช่วยกันหาทางออก นี่คือสิ่งที่เราทำกันมาตั้งแต่วันแรก"
อ่าาาา ถึงขั้นให้คู่แข่งต้องมาเอ่ยปากสอน ก็จบแล้ว...
ปลายปีชี้ชะตา
- เดวิด มอยส์ : ต้นปี 2014
หลุยส์ ฟาน กัล : กลางปี 2016
โชเซ่ มูรินโญ่ : ธันวาคม 2018
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา : พฤศจิกายน 2021
ราล์ฟ รังนิค : กลางปี 2022
ดังจะเห็นว่า 2 จาก 3 กุนซือ แมนยู รายหลังสุด ถูกสั่งเด้งในช่วง "ปลายปี"
ทั้ง มูรินโญ่ และ โซลชา ต้องก้าวเท้าออกจาก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไปหลังจากพาทีมเริ่มต้นซีซั่นได้ไม่สวย และมากพอให้บอร์ดบริหารทำการตัดสินใจ
นั่นอาจพอบอกคร่าวๆ ได้ว่า "กรอบเวลา" ของการประเมินผลงานจากเบื้องบนปีศาจแดง อยู่ที่ประมาณนี้แหละ ถ้าผ่านเดือน 10 ไปด้วยความย่ำแย่ และไม่มีสัญญาณชีพกระเตื้องขึ้นในเดือน 11 และ 12 แล้ว ก็รอรับซองขาวได้
นอกจากนั้นแล้ว ถ้าเกิดความเปลี่ยนแปลงใดขึ้นในเร็วๆ นี้ ก็ใช่ว่า แมนยู จะขาดแคลนทางเลือก ใช่ว่าจะไม่มีใครอีกแล้วที่เหมาะสมกับเก้าอี้ตัวนี้มากกว่า เทน ฮาก
ในสายตาของร้านพูลเมืองผู้ดี ตัวเต็งเบอร์ต้นๆ มีอาทิ ซีเนอดีน ซีดาน (ว่างงาน), ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ (เยอรมนี จนจบยูโร), เกรแฮม พ็อตเตอร์ (ว่างงาน) และ อันโตนิโอ คอนเต้ (ว่างงาน) หรือถ้าอยากเลือกทาง "เสียเงิน" โธมัส แฟร้งค์ แห่ง เบรนท์ฟอร์ด ก็ไม่เลว
ยังมีกระแสข่าวในช่วงสัปดาห์ก่อนๆ เหมือนกันว่า เกรแฮม พ็อตเตอร์ คือตัวเลือกของ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ หากผ่านขั้นตอนซื้อหุ้น 25% และขอสิทธิ์ขาดในการดูแลงานด้านฟุตบอลมาจากตระกูลเกลเซอร์ ได้สำเร็จ
ดังนั้น ด้วยทิศทางของผลงาน, แสงสว่างที่มองไม่เห็นปลายอุโมงค์ และการมีตัวเลือกอื่นที่น่าสนใจเพียงพออยู่ข้างนอก
ก็ล้วนแต่สรุปได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงอาจรออยู่ไม่ไกล
ดีไม่ดี ก็อาจใกล้กว่าที่คิด!