อาร์เซนอล กลับสู่เส้นทาง… กับการได้ “3” ที่ทำให้ระยะห่างเหลือเพียง “2” - OPINION
• ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้เป็นเกมที่สองใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้
หลังจบเกมที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมในค่ำคืนที่ต้องบอกว่าชื่นมื่นสำหรับทัพอาร์เซนอลเมื่อชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลในเกมที่หมายถึงหลากหลายอย่างที่มากกว่าชัยชนะ และหนึ่งในนั้นคือเส้นทางที่กรุยทางกันมาตลอดยังมีเส้นให้เดินได้ต่อไปอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น กับเกมสุดท้ายที่ทั้งสองทีมจะได้พบกันในฤดูกาลนี้
ก่อนเกมนี้ อาร์เซนอล และลิเวอร์พูล อยู่ในฟอร์มที่ร้อนแรง โดยเฉพาะทีมเยือนในฐานะจ่าฝูง การประกาศอำลาทีมหลังจบฤดูกาลนี้ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีแรงส่งที่ทำให้หลังการประกาศอำลา พวกเขาผลงานดีต่อเนื่อง
อาร์เซนอลเจอกับลิเวอร์พูลไม่เคยมีงานง่ายเลย แต่สองปีที่ผ่านมา อาร์เซนอล สามารถยกระดับการเล่นของตัวเองได้ใกล้เคียงกับทีมของคล็อปป์ได้มากยิ่งขึ้น แม้กระทั่งบนความพ่ายแพ้ในเกมเอฟเอ คัพ รอบสาม อาร์เซนอลก็สร้างโอกาสได้มากมายในเกมนั้น แต่ก็ไม่เฉียบคมกันเองจนพ่ายไปในที่สุด
มาเกมนี้ พวกเขาได้โอกาส “แก้ตัว” จากเมื่อต้นเดือนที่แล้ว และสุดท้ายพวกเขาก็ทำได้ในเกมที่ “ประสิทธิภาพ” มาพร้อม “ประสิทธิผล” เสียที
“สภาพจิตใจ” และ “แรงกระตุ้น” กับความต้องการเป็นผู้ชนะ
มองย้อนกลับไปในช่วงที่ มิเคล อาร์เตต้า เข้ามาทำทีมอาร์เซนอล พวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่ถูก “ตราหน้า” เรื่อง “ใจ” มีปัญหา ทีมมักพลาดในช่วงสำคัญ ทีมมักพลาดในเกมที่ห้ามพลาด ผ่านมาแล้ว 4 ปี พวกเขาเจ็บปวดมาเยอะมากกับเรื่องนี้ จนมาถึงวันนี้พวกเขาเติบโตขึ้น และวันนี้เป็นอีกครั้งที่ทำได้ดี
จังหวะออกนำไม่ดีใจตื่นเต้นเกินไปจนเกิดช่องว่างของสมาธิในช่วง 2-3 นาทีหลังได้ประตูทั้งประตูนำ 1-0 หรือประตูพลิกนำ 2-1 พวกเขาทำได้ดี
จังหวะเสียประตูในช่วงนาทีบาปท้ายครึ่งแรก ที่เกิดจากความผิดพลาดส่วนตัวของผู้เล่นในการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที ต่อยอดมาจนถึงต้นครึ่งหลังที่ลิเวอร์พูล ได้โอกาสขึงเกมรุกเข้าใส่ พวกเขารักษาตัวรอดจากการเสียประตูเอาไว้ได้ ไม่พังไปกับการโดนโถมเข้าใส่ และเมื่อมีโอกาสคว้าไว้ได้ ความต่างของเกมนี้ กับวันที่แพ้ในเอฟเอ คัพ คือเรื่องนี้เลย มีโอกาสจัดการได้ กับมีโอกาสแล้วจัดการไม่ได้
ช่วงเวลาที่โดนกดดันหนัก ๆ อาร์เซนอล ต้องใช้คำว่า “อึดอัด” กับการเจอบีบพื้นที่ และโดนขึงใส่ สิ่งที่ยากที่สุดของอาร์เซนอล ไม่ใช่การเล่นเกมรับ แต่มันคือการทำอย่างไรให้ “รับกลายเป็นรุก” พวกเขาเจอลูปขึงเกมของลิเวอร์พูลไปเกือบ 10 นาที ตัดบอลได้ก็จริง แต่ครองบอลนานไม่ได้ ออกบอลดี ๆ ก็ไม่ได้ เสียบอลตลอด จริงอยู่ที่ ลิเวอร์พูลขึงจนตึงนาน ๆ พวกเขาต้องผ่อนเกมให้คลายตัวลง แต่กว่าจะถึงตรงจุดนั้น อาร์เซนอล ก็รากเลือดแล้วแต่ถึงจะสาหัสแค่ไหน ถ้าไม่ตายโอกาสรอดก็ยังมี และมันเกิดขึ้นในวันนี้ นี่คือพาร์ทที่ผู้เขียนชื่นชมทีมรักของตัวเองในวันนี้ที่สุด
เกมรุกอาร์เซนอล จบเกมนี้ด้วยโอกาสยิงรวม 15 ครั้ง (เข้ากรอบ 7) น้อยกว่าในเกมก่อนหน้านี้เล็กน้อยแต่ทำได้ถึง 3 ประตู แต่ที่ดีกว่านั้นคือการทำให้ลิเวอร์พูล ยิง 10 เข้ากรอบทั้งเกมเพียง 1 ครั้งตลอดเกม
มองกันที่ความสำคัญเกมนี้ อาร์เซนอล ต้องสามคะแนนหากอยากลุ้นแชมป์ต่อ ลิเวอร์พูล หากแพ้อย่างมากก็ยังจ่าฝูง (แม้ว่าเสี่ยงจะโดนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แซงก็ตาม) แรงกระตุ้นตรงนี้มันต่างกัน ขณะที่ ลิเวอร์พูล เกมนี้หลังการตามหลัง 2-1 พวกเขาขาดแรงฮึดที่เคยทำได้ดีกว่านี้ จังหวะเริ่มไม่ต่อเนื่อง การจบเกมด้วยการยิงเข้ากรอบ 1 ครั้ง ชี้ชัดว่าต่ำกว่ามาตรฐานขั้นร้ายแรงสำหรับพวกเขา
ทีมชุดนี้เรียนรู้มากขึ้นว่าจะเล่นอย่างไรเพื่อสามคะแนน มากกว่าแค่เล่นเพื่อความบันเทิงของผู้ชม หรือปล่อยไปตามอารมณ์จนเกิดความเสียหาย
“Personal Error” ปัจจัยตัดสินเกม
ตลอดเกมนี้ความผิดพลาดส่วนบุคคลมีตลอด 90 นาทีเป็นเรื่องปกติของเกมการแข่งขัน แต่ใครจะพลาดมากกว่า และจังหวะของใครพลาดจนเสียประตู ซึ่ง 2 จาก 4 ประตูที่เกิดขึ้น มีความผิดพลาดในลักษณะนี้รวมอยู่ในนั้น โดยเฉพาะจังหวะประตู 1-1 และ 2-1 ซึ่งก็เห็นกันชัดเจนถึงความ “น้อยนิดมหาศาล” ในผลของความผิดพลาด และมีผลต่อรูปเกมทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจช้าเกินไปในการออกมาคว้าบอลของ ดาบิด ราย่า ที่ วิลเลี่ยม ซาลิบา บังทางเอาไว้ให้แล้ว จนเกิดความผิดพลาด หรือการปล่อยบอลตกของ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ จนกลายเป็นจังหวะกั๊กกันเองระหว่างตัวเขากับ อลิสซอน เบคเกอร์ ทั้งหมดเกิดขึ้นใน 2-3 วินาทีที่ทั้ง “ไม่เด็ดขาด” และ “คาดเดาไม่ได้”
การโดนตีเสมอ 1-1 ส่งผลต่ออาร์เซนอลในเรื่องของรูปเกมต้นครึ่งหลังอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ส่วนการพลิกขึ้นนำ 2-1 ของพวกเขาก็ทำให้ลิเวอร์พูล ต้องเล่นเกมรุกเต็มตัวในช่วง 20 นาทีสุดท้าย จากที่มองหาประตูเพื่อชนะ กลายมาเป็นมองหาหนึ่งคะแนนที่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายกับสถานะของพวกเขา ในเกมเช่นนี้ อาร์เซนอล ปิดเกมได้ดีไม่พลาดง่าย ไม่ลนลาน และย้ำอีกครั้งวันนี้ ลิเวอร์พูล ต่ำกว่ามาตรฐานในการเข้าทำ สวนทางกับแนวรับอาร์เซนอลที่ เบน ไวท์ อาจจะเป็นคนที่ลำบากที่สุดในเกมนี้ กับการเจอ หลุยส์ ดิอาซ พาทัวร์ก็จริงแต่พลาดแล้วไม่พัง ต่างจากเกมเอฟเอ คัพ ที่พลาดแล้วเสียประตู
ผลงานของตัวสำรอง
ก่อนเกมนี้ อาร์เซนอล ยังไม่มีชื่อของ โธมัส ปาเตย์ ที่เจ็บซ้ำและพลาดต่อไปอีกเกม รวมถึงการเสีย กาเบรียยล เชซุส ไปอีกคนในเกมรุก การเลือก ไค ฮาแวตซ์ ลงเล่นในตำแหน่งตัวรุกด้านบนไม่ใช่ เอ็ดดี้ เอนเคเธีย และเลือกใส่ จอร์จินโญ่ ลงมาในพื้นที่กลางสนามร่วมกับ ดีแคลน ไรซ์ กลายเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง กองกลางอิตาเลี่ยน รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของเกมนี้ การันตีคุณภาพ การเชื่อมเกมออกบอล / ตัดบอล และการหาพื้นที่ในการเล่น วันนี้ทำได้เป็นอันดับหนึ่งทั้งหมดของทีม ขณะที่ตัวสำรองที่ลงมา เลอันโดร ทรอตซาร์ คือตัวตัดสินเกม ด้วยเทคนิคที่ยอดเยี่ยมจากการหนีสองตัวประกบ ก่อนจะลากเดี่ยวเข้าไปยิงประตูที่สามในเกมนี้ ซึ่งเป็นประตูย้ำชัยชนะ เช่นเดียวกับ ยาคุบ คิวิออร์ ที่วันนี้ลบฝันร้ายจากการทำเข้าประตูตัวเองในเกมก่อนได้แล้ว เป็นวันที่ดีของแนวรับโปแลนด์ที่ลงมาแทนที่ของ ซินเชนโก้
นับจากนี้ อาร์เซนอล - ลิเวอร์พูล สิ้นสุดพันธะที่มีต่อกันเป็นการชั่วคราวในฤดูกาลนี้ หลังจากนี้ต่างฝ่ายต่างต้องไปทำหน้าที่ของตัวเองกันต่อไป โดยยังคงมี “แชมป์เก่า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือตัวละครสำคัญที่รอเก็บตกความผิดพลาดของคู่แข่งเช่นเดียวกับ แอสตัน วิลล่า และ สเปอร์ส ที่ต่างได้อานิสงส์จากการ “หยุด” อย่างไม่เต็มใจของทัพหงส์แดงในเกมนี้
พวกเขาทั้งหมด ยังต่างจะมีเกมที่ต้องตัดคะแนนกันเองโดยตรงกันอีกคนละหนึ่งเกมที่จะส่งผลถึงเป้าหมายของแต่ละทีมในเส้นทางการลุ้นแชมป์ที่ยังคงสูสี กับ 15 เกมสุดท้าย (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหลือ 17 เกม) กับการเข้าสู่ “สามเดือนสุดท้าย” ของพรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้ ที่หวังแค่ไหนก็ต้องพยายามไปให้ถึงที่สุด สุดท้าย “ผลอันดับคะแนน” จะบ่งบอกเองว่า “ผลของความพยายาม” ของแต่ละทีม มันมากเพียงพอหรือเปล่า