ปัญหาใหญ่ของ ลิเวอร์พูล หลังหายนะที่ สตาดิโอ ดิเอโก้ มาราโดนา- OPINION
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
หลังจบเกมที่โดน นาโปลี เปิดบ้านถล่มเละเทะ 4-1 ในเกม ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดแรก สภาพของ ลิเวอร์พูล ตอนนี้จิ้มลงไปตรงไหนก็มีปัญหาทั้งนั้น
แม้ความพ่ายแพ้ครั้งนี้อาจจะไม่หนักหนาเท่ากับการโดน แอสตัน วิลลา ถลุง 7-2 ในศึก พรีเมียร์ลีก เมื่อ 2 ปีก่อน แต่รูปเกมที่แสดงออกมามันเลวร้ายถึงขนาดถูกแฟนบอลหลายคนจารึกไว้ว่านี่คือ 1 ในเกมที่ทีมรักของพวกเขาเล่นได้ห่วยที่สุดในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์
เกิดอะไรขึ้นกับทีมที่เคยลุ้น 4 แชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ประการแรกคือเรื่องอาการบาดเจ็บ ซึ่งเรื่องนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตอนนี้ คล็อปป์ มีรายชื่อนักเตะที่ต้องนอนโรงพยาบาลยาวเป็นหางว่าว ส่งผลต่อการจัดตัวในแต่ละนัด โดยเฉพาะในเกมล่าสุดที่เขาโดนวิจารณ์ว่าทำไมยังทู่ซี้ส่ง เจมส์ มิลเนอร์ ลงสนามทั้ง ๆ ที่เกมก่อน ๆ ก็เล่นไม่ดี แถมพอลงมาเกมนี้ยังมาทำให้ทีมเสียจุดโทษและเกือบโดนใบแดงเสียอีก
เอาเข้าจริงนายใหญ่ชาวเยอรมันไม่มีทางเลือกมากนัก แม้ว่า ติอาโก้ อัลคันทารา จะกลับมาลงซ้อมและ อาร์ตูร์ เมโล ก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่คนแรกยังไม่เต็มร้อย ส่วนรายหลังยังต้องการแม็ตช์ฟิตเนสมากกว่านี้
หากย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาลก่อน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ คล็อปป์ สามารถพาทีมลุ้น 4 แชมป์ได้จนถึงวันสุดท้ายของซีซัน เป็นเพราะเขามี “ขุมกำลังเชิงลึก” ให้ใช้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในแดนกลางที่มีตัวเลือก 7-8 คนเลยทีเดียว ต่างจากปีนี้ที่เหลือเพียง 5 คนเท่านั้น
ในส่วนกองหลัง โจ โกเมซ ถูกวิจารณ์มากที่สุด ทั้งเรื่องของการอ่านเกม ทางบอล และสร้างภาระให้กับ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ซึ่งใจจริงก็เชื่อว่า คล็อปป์ อยากจะส่ง โจเอล มาติป ที่มีชื่อเป็นตัวสำรองลงตั้งแต่ต้น แต่การคืนสนามเร็วเกินไปอาจทำให้บาดเจ็บเพิ่ม เราจึงได้เห็นเจ้าตัวถูกเปลี่ยนลงมาเล่นในครึ่งหลัง ซึ่งก็ทำให้ทีมดูดีขึ้นมาได้นิดหน่อย
การมีผู้เล่นจำกัดจำเขี่ยแบบนี้จึงส่งผลต่อการจัดทีมและทำให้เกมเสียสมดุลไปมาก
จริงอยู่ที่ในแดนหน้ามีนักเตะพร้อมใช้งานทั้ง หลุยส์ ดิอาซ, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดาร์วิน นูนเญซ และ ดิโอโก้ โชต้า แต่จะมีประโยชน์อะไรหากตัวปั้นเกมอย่าง ติอาโก้ ได้รับบาดเจ็บ ตัวชนอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ต้องพักอย่างน้อย 3 สัปดาห์ ปล่อยให้ ฟาบินโญ แบกแดนกลางคนเดียว ฮาร์วีย์ เอลเลียต เล่นดีจริง แต่เจ้าหนูวัย 19 ปียังต้องเรียนรู้ในการเล่นกับรุ่นพี่อีกเยอะ ส่วน น้ามิล ก็โรยราไปมาก
เราจึงได้เห็นเกมรุกที่ไม่ปะติดปะต่อและการโดนสวนกลับแบบง่าย ๆ จนนำมาซึ่ีงความพ่ายแพ้ในเกมเมื่อคืน
ประการต่อมาคือเรื่องของรูปแบบและแท็คติกการเล่นที่โดนทีมอื่น ๆ จับทางได้หมดแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เคยออกมาพูดไว้เมื่อตอนที่แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกแดงเดือด เขาบอกว่าทีมอาจจะต้องทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง เพราะแต่ละทีมรู้แล้วว่าจะเล่นกับพวกเขาอย่างไร ซึ่ง เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์หลังเกมเมื่อคืนนี้เหมือนกันว่า เขาจะต้องลองทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง แม้มันต้องใช้เวลาก็ตาม
ในเกมกับ นาโปลี พวกเขาโดนบรรดาแนวรุกเจ้าบ้านฉีกกระจุยกระจาย เกมดักล้ำหน้าจากการดันไลน์แผงหลังขึ้นสูงถูกท้าทาย โจ โกเมซ และ ฟาน ไดค์ ต้องวิ่งก้มหน้างุด ๆ กลับมาไล่บอลอยู่บ่อยครั้ง และท้ายที่สุดก็โดนล่อตาข่ายตามระเบียบ
ทุกทีมรู้แลวว่าพวกเขาจะรับมือกับ ลิเวอร์พูล อย่างไร แค่เตรียมทีมให้ฟิต ลงสนามด้วยการเพรสหนัก ไล่บี้แดนกลาง แล้วใช้การวางบอลข้ามหัวเซ็นเตอร์ โดยมีกองหน้าที่ใช้ความเร็ว แค่นั้นคุณก็สามารถเอาประตูจากแชมป์ยุโรป 6 สมัยได้ไม่ยาก
ประการสุดท้ายที่เห็นได้ชัดจากเกมที่ ซาน เปาโล คือเรื่องของ “หัวจิตหัวใจ” คล็อปป์ เคยพูดเอาไว้ว่าเขาต้องการดึง “Monster Mentality” ของลูกทีมออกมา เพราะตั้งแต่เปิดฤดูกาลแข้ง หงส์แดง ดูจะเล่นแบบไร้แรงจูงใจหรือไม่มีความฮึกเหิมซักเท่าไหร่
สิ่งนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญในการเล่น “เกเก้นเพรสซิง” ถ้าคุณไม่พร้อม สภาพจิตใจไม่นิ่ง ลังเล หรืออ่อนล้า อย่าว่าแต่วิ่งเพรสเลย การจ่ายบอลสั้น ๆ ง่าย ๆ คุณก็พลาดได้
ลิเวอร์พูล เมื่อคืนนี้เป็นแบบนั้น พวกเขาดูเหม่อลอย ไม่พร้อมเล่น เกือบโดน วิคเตอร์ โอซิเมน ล่อตั้งแต่ 3 นาทีแรก แต่สุดท้ายก็ไม่รอด โดนจุดโทษในอีก 2 นาทีต่อมา และเสียเพิ่มอีก 2 ประตูก่อนจะหมดครึ่งแรก
ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า ลิเวอร์พูล ที่เคยถูกยกย่องว่าเป็นทีมที่แพ้ยาก ฆ่าไม่ตาย Never say die จะมาโดนครึ่งเดียว 3 ประตูแบบหมดทางสู้แบบนี้
ว่ากันว่าสาเหตุสำคัญเป็นเพราะเอฟเฟ็คจากการลุ้น 4 แชมป์เมื่อฤดูกาบที่แล้วที่ส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้
การต้องกรำศึกหนักกันคนละ 30-40 ในฤดูกาลเดียว แถมยังต้องเล่นแบบวิ่งเพรสไม่หยุดตามสไตล์ เยอร์เก้น คล้อปป์ มันทำให้นักเตะออกอาการล้าอย่างเห็นได้ชัด อย่างเกมรอบชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ที่พวกเขาพ่ายต่อ เรอัล มาดริด 1-0 บางคนอาจจะมองไม่ออก แต่การที่พวกเขาขาดความเฉียบคมส่วนหนึ่งมาจากการต้องลงเล่นติด ๆ กันหลายเกมด้วย
ที่สำคัญคือแม้จะลุ้นถึง 4 แชมป์แต่กลับกลายเป็นว่าไม่สามารถคว้าถ้วยใหญ่ได้เลย ทั้ง พรีเมียร์ลีก หรือ UCL ในขณะที่นักเตะบางคนอยู่ในจุดที่พีคที่สุดของการค้าแข้ง แต่เมื่อผิดหวังจากการเป็นแชมป์ระดับเมเจอร์ติด ๆ กัน 2 รายการ มันย่อมส่งผลต่อแรงจูงใจด้วยเช่นกัน
อย่าลืมว่าผู้เล่นหลายคนเข้าวัย 30 กันแล้ว ดังนั้นการจะไปหวังให้เล่นเหมือนเดิม เพรสแบบเดิม หรือดุดันถึงลูกถึงคน มันเป็นไปได้ยาก เผลอ ๆ จะโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานเสียอีก ซึ่งมันก็เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน คล็อปป์ อาจจะขอเวลาอีกซักหน่อยให้ปัญหาต่าง ๆ คลี่คลายลงไป โดยเฉพาะเรื่องของอาการบาดเจ็บ ซึ่งถ้าได้นักเตะตัวหลักกลับมา การเล่นในรูปแบบเดิมหรอแท็คติกเดิมย่อมไม่มีปัญหา ด้วยคุณภาพของผู้เล่นที่สูงขึ้น ประสิทธิภาพย่อมตามมาอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่อาจจะต้องรีบฟื้นฟูโดยด่วน นั่นคือเรื่องของสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ภาษากายที่แสดงออกมาในแง่ลบ นี่คือเรื่องใหญ่สิ่งที่บอส ลิเวอร์พูล ต้องแก้ไข
เพราะเอาเข้าจริงแล้วต่อให้ตัวผู้เล่นจะห่างชั้นกันขนาดไหน ถ้า “ใจ” มันไม่ได้ ทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า เหมือนเกมเมื่อคืนนี้อยู่ดี
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด