ย้อนรอย เฟร์นันโด ตอร์เรส กับคำถามที่ว่า "เอล นินโญ" ล้มเหลวที่ เชลซี จริงหรือ ? - OPINION
- เฟร์นันโด ตอร์เรส เคยค้าแข้งกับเชลซีตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปี 2014
- กองหน้ารายนี้โด่งดังจากการค้าแข้งกับ แอตเลติโก้ มาดริด และ ลิเวอร์พูล
- หลายคนมองว่าเขาย้ายมาล้มเหลวไม่เป็นท่ากับ สิงโตน้ำเงินคราม
หากจะพูดถึงแข้งเลือดกระทิงดุขวัญใจแฟนบอลชาวไทยอย่าง เฟร์นันโด ตอร์เรส อดีตกองหน้าซูเปอร์สตาร์ที่ผ่านประสบการณ์กับสโมสรยักษ์ใหญ่มากมาย ทั้ง แอตเลติโก มาดริด, ลิเวอร์พูล, เชลซี, เอซี มิลาน จนกระทั่งมาปิดฉากชีวิตการค้าแข้งที่ ซากัน โทสุ ทีมในศึกเจลีกประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงกลางปี 2019 ที่ผ่านมานั้น เรื่องราวของแข้งเจ้าของฉายา "เอล นินโญ" รายนี้แน่นอนว่ามีมากมายชนิดที่พูดกันทั้งวันก็ไม่จบ แต่วันนี้เราอยากจะหยิบยกประเด็นที่มีคนถกเถียงกันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในอดีตมาวิเคราะห์ในอีกแง่มุมที่ต่างออกไป กับประเด็นที่ว่า จริงหรือที่ ตอร์เรส ล้มเหลวกับ เชลซี ?
อย่างที่กล่าวไปว่าอันที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็มักจะเป็นหัวข้อที่นำมาพูดถึงกันอยู่บ่อย ๆ เมื่อกล่าวถึงกองหน้าวชาวสเปนรายนี้ ซึ่งคงต้องเท้าความไปก่อนหน้านั้น ช่วงที่เจ้าตัวระเบิดฟอร์มเก่งได้อย่างน่าประทับใจกับ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายมาเล่นใน พรีเมียร์ลีก เมื่อปี 2007 โดยตลอด 3 ปีครึ่งในถิ่น แอนฟิลด์ เขาซัดไปถึง 81 ประตูให้กับ หงส์แดง รวมทุกรายการ
จนกระทั่งเดือนมกราคมปี 2011 เชลซี จัดการทุบกระปุกควักเงินกว่า 52 ล้านปอนด์ กระชากตัวดาวยิงขวัญใจ เดอะ ค็อป มาร่วมทีม จุดนี้แหละ ! ที่หลายคนมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงในชีวิตการค้าแข้งของเขาคนนี้ แต่แน่นอนมันก็ไม่แปลกเลยที่ใครจะคิดเช่นนั้น เพราะแค่ครึ่งซีซั่นแรกกับ สิงห์บลู เจ้าตัวก็ซัดไปทั้งสิ้น 1 ประตูถ้วนจากทั้งหมด 18 เกมที่ลงสนาม โดยหากใครจำกันได้มันเป็นนัดที่พบกับ เวสต์แฮม ที่ได้สภาพสนามที่ชุ่มน้ำเป็นตัวช่วยให้เจ้าตัวได้โอกาสยิงประตูแบบฟลุก ๆ อีกต่างหากในเกมวันนั้น
มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา ? แฟน ๆ สิงห์ไฮโซ ณ เวลานั้นต่างตั้งคำถามในตัวของบุรุษเจ้าของค่าตัวกว่า 50 ล้าน ซึ่งหลาย ๆ คนก็ตีความกันไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าอาจเป็นเพราะเพราะปัญหาความฟิต ? การบาดเจ็บ ? หรือแม้แต่การปรับตัว
กระทั่งฤดูกาลใหม่ 2011/12 เริ่มต้นพร้อมกุนซือหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรง อังเดร วิลาส-โบอาส ทำให้แฟนบอลคาดหวังว่านี่อาจจะเป็นนิมิตหมายอันดีที่ ตอร์เรส จะได้รีเซ็ตความผิดหวังและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่แล้วสุดท้ายเหล่าแฟนคลับก็ต้องพบกับผิดหวัง ที่เจ้าตัวไม่สามารถคืนฟอร์มเก่งเหมือนสมัยค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล ได้ และเห็นได้ชัดว่าความมั่นใจของเขานั้นหายไปจากเดิมมากพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นผลงานของทีมยังย่ำแย่ ทำให้บอร์ดบริหารในขณะนั้นภายใต้บิ๊กบอส โรมัน อบราโมวิช เลือกที่จะปลดกุนซือหนุ่มจาก ปอร์โต้ ออกไป และตั้ง โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ที่ทำหน้าที่สตาฟฟ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมาคุมทีมแทน จนกระทั่งพวกเขาพลิกล็อคถู ๆ ไถ ๆ จนจบซีซั่นด้วยการคว้าแชมป์ติดมือมาถึง 2 รายการด้วยกัน ทั้ง เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่แน่นอนหากพูดถึงผลงานส่วนตัวของ ตอร์เรส ก็ยังพูดได้ว่า "ไม่สมราคา" ยิงได้เพียง 12 ประตูจาก 49 เกมรวมทุกรายการเท่านั้น
ต่อมาในปี 2012/13 ช่วงต้นฤดูกาลเหมือนกับว่าดาวยิงเลือดกระทิงดุจะเริ่มคลำเป้าเจออีกครั้ง แต่แล้วก็แผ่วลงเช่นเคยช่วงกลางฤดูกาล กระทั่ง โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ถูกปลด ออกไปและเป็น ราฟา เบนิเตซ ชายผู้นำตัวเขามาสู่ลีกเมืองผู้ดีตบเท้ามารับเผือกร้อน ๆ แทน ซึ่งในยุคของ "ราฟา" ผลงานของ ตอร์เรส ก็ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย จะยิงเยอะในฟุตบอลถ้วยเป็นส่วนใหญ่ และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ ยูโรปาลีก มาครองได้อีกด้วยในปีนั้น
ต่อมาที่ฤดูกาล 2013/14 ราฟา จากไปและเป็น โชเซ มูรินโญ ที่กลับมาคุมทีมอีกครั้ง แต่สำหรับหัวหอก No.9 ก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะเรียกวิญญาณเพชฌฆาตกลับคืนมาได้ ด้วยผลงานเพียง 11 ประตูในทุกรายการ แถมทีมยังจบซีซั่นแบบมือเปล่า และปีนี้เองคือฤดูกาลสุดท้ายของเขาในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เพราะซีซั่นต่อมาเจ้าตัวได้ถูกปล่อยให้กับกับ เอซี มิลาน ยืมตัวก่อนย้ายขาดไป แอตเลติโก มาดริด ปิดตำนาน "เอล นินโญ" แห่งลีกสูงสุดแห่งเมืองผู้ดีนับจากนั้นเป็นต้นมา
ว่ากันมาซะยืดยาว แต่ที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นเป็นเพียงมุมมองมุมหนึ่งที่แฟนฟุตบอลหลายคนมองชีวิตในลอนดอนของ ตอร์เรส ว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่... หากลองมองในมุมหนึ่งที่ต่างออกไป บางทีชีวิตภายใต้สีเสื้อน้ำเงินครามของเขา อาจจะไม่ย่ำแย่ขนาดนั้น แม้ว่าจะเริ่มต้นได้ไม่ดีเท่าใดนัก แต่เจ้าตัวพยายามปรับสไตล์การเล่นให้มีประโยชน์กับทีมมากที่สุด แม้จะทำได้เพียง 11 ประตูในปี 2011/12 แต่ก็สามารถแอสซิสต์ให้กับเพื่อนร่วมทีมได้มากถึง 16 ครั้ง อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการช่วยทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร กับประตูแห่งความทรงจำของ "เด็กสิงห์" ที่เขาเป้นผู้ยิงตีเสมอ บาร์เซโลนา 2-2 ที่ คัมป์ นู ในรอบรองชนะเลิศโดยเป็นจังหวะหลุดเดียวก่อนหลบ วิคตอร์ บัลเดส และยิงโล่ง ๆ เข้าไป ส่ง เชลซี เข้าชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปรายการใหญ่เป็นหนที่สองไปพบกับ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งบรรดาสื่อต่างยกให้ลูกนั้นเป็นประตูมูลค่า 50 ล้านปอนด์ที่เจ้าตัวยิงคืนทุนให้กับ เชลซี เลยทีเดียว
ซีซั่นต่อมา หลังจากผงาดคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์, เอฟเอ คัพ และ แชมป์ ยูโร 2012 กับทีมชาติสเปน พร้อมดีกรีดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเมนต์มาได้ ดูเจ้าตัวจะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก ราฟา เบนิเตซ เข้ามาคุมทีมชั่วคราวแทนที่ โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ดูได้จากผลงานที่ทำไปมากถึง 22 ประตูกับ 11 แอสซิสต์ในทุกรายการ ซึ่งจำนวนนี้มากที่สุดในการค้าแข้งที่เมืองผู้ดีตลอด 8 ปี เป็นรองเพียงฤดูกาล 2007/08 สมัยอยู่กับ ลิเวอร์พูล เท่านั้นที่ทำไปได้ 33 ประตูกับ 5 แอสซิสต์ นอกจากนี้ในซีซั่น 2012/13 ตอร์เรส ยังเป็นผู้ยิงประตูสำคัญช่วยเบิกร่องให้กับทีมในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า ยูโรปาลีก ที่พบกับ เบนฟิกา จนสุดท้ายเกมจบลงด้วยชัยชนะของสิงโตน้ำเงินคราม 2-1 สร้างประวัติศาสตร์คว้า 2 ถ้วยยุโรปในเวลา 2 ปีติดต่อกันได้สำเร็จอีกด้วย
แน่นอนว่าในมุมของแฟนบอล เชลซี หลายคน ตอร์เรส อาจจะไม่ใช่กองหน้าที่ดีที่สุดของสโมสร แถมผลงานก็ค่อนข้างผิดไปจากความคาดหวังไม่ต่างกับเหล่ากองหน้าบิ๊กเนมที่ย้ายมาล้มเหลวไม่เป็นท่าอย่าง อังเดร เชฟเชนโก้, เฮอร์นัน เครสโป, มาเตยา เคซมัน อัลบาโร โมราตา หรือ โรเมลู ลูกากู แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ เอล นินโญ ดูจะแตกต่างออกไปก็คือ ความมุ่งมันและทุ่มเทที่มอบให้กับสโมสรอย่างเต็มที่ ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างไม่ย่อท้อแม้จะถูกตำหนิติเตียนหรอืถูกวิจารณ์หนักหน่าวมากเพียงใด จนในที่สุดก็สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรได้สำเร็จ
แม้ เฟร์นันโด ตอร์เรส จะไม่ได้ถูกจดจำในฐานะตำนานกองหน้าของ เชลซี เหมือนอย่าง จิอันฟรังโก โซลา หรือ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ไม่มีเทสติโมเนียลแมทช์ก่อนอำลา ไม่มีรูปปั้นอนุสาวรีย์ใด ๆ ให้ระลึกถึง แต่เชื่อได้เลยว่าผลงานที่เจ้าตัวฝากเอาไว้ รวมถึงความสำเร็จสูงสุดในยุคที่มีเขายืนตระหง่านเป็นหัวหอกตัวความหวังนั้น จะถูกจดจำและตราตึงอยู่ในหัวใจของแฟนบอล สิงโตน้ำเงินคราม ยุคนั้นไปอีกนานแสนนานอย่างแน่นอน...