ย้อนรอย เฟร์นันโด ตอร์เรส กับคำถามที่ว่า "เอล นินโญ" ล้มเหลวที่ เชลซี จริงหรือ ? - OPINION

  • เฟร์นันโด ตอร์เรส เคยค้าแข้งกับเชลซีตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปี 2014
  • กองหน้ารายนี้โด่งดังจากการค้าแข้งกับ แอตเลติโก้ มาดริด และ ลิเวอร์พูล
  • หลายคนมองว่าเขาย้ายมาล้มเหลวไม่เป็นท่ากับ สิงโตน้ำเงินคราม
Chelsea v Liverpool - Premier League
Chelsea v Liverpool - Premier League / Laurence Griffiths/GettyImages
facebooktwitterreddit

หากจะพูดถึงแข้งเลือดกระทิงดุขวัญใจแฟนบอลชาวไทยอย่าง เฟร์นันโด ตอร์เรส อดีตกองหน้าซูเปอร์สตาร์ที่ผ่านประสบการณ์กับสโมสรยักษ์ใหญ่มากมาย ทั้ง แอตเลติโก มาดริด, ลิเวอร์พูล, เชลซี, เอซี มิลาน จนกระทั่งมาปิดฉากชีวิตการค้าแข้งที่ ซากัน โทสุ ทีมในศึกเจลีกประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงกลางปี 2019 ที่ผ่านมานั้น เรื่องราวของแข้งเจ้าของฉายา "เอล นินโญ" รายนี้แน่นอนว่ามีมากมายชนิดที่พูดกันทั้งวันก็ไม่จบ แต่วันนี้เราอยากจะหยิบยกประเด็นที่มีคนถกเถียงกันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในอดีตมาวิเคราะห์ในอีกแง่มุมที่ต่างออกไป กับประเด็นที่ว่า จริงหรือที่ ตอร์เรส ล้มเหลวกับ เชลซี ?

Chelsea's Italian manager Carlo Ancelott
Chelsea's Italian manager Carlo Ancelott / CARL DE SOUZA/GettyImages

อย่างที่กล่าวไปว่าอันที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็มักจะเป็นหัวข้อที่นำมาพูดถึงกันอยู่บ่อย ๆ เมื่อกล่าวถึงกองหน้าวชาวสเปนรายนี้ ซึ่งคงต้องเท้าความไปก่อนหน้านั้น ช่วงที่เจ้าตัวระเบิดฟอร์มเก่งได้อย่างน่าประทับใจกับ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายมาเล่นใน พรีเมียร์ลีก เมื่อปี 2007 โดยตลอด 3 ปีครึ่งในถิ่น แอนฟิลด์ เขาซัดไปถึง 81 ประตูให้กับ หงส์แดง รวมทุกรายการ

จนกระทั่งเดือนมกราคมปี 2011 เชลซี จัดการทุบกระปุกควักเงินกว่า 52 ล้านปอนด์ กระชากตัวดาวยิงขวัญใจ เดอะ ค็อป มาร่วมทีม จุดนี้แหละ ! ที่หลายคนมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงในชีวิตการค้าแข้งของเขาคนนี้ แต่แน่นอนมันก็ไม่แปลกเลยที่ใครจะคิดเช่นนั้น เพราะแค่ครึ่งซีซั่นแรกกับ สิงห์บลู เจ้าตัวก็ซัดไปทั้งสิ้น 1 ประตูถ้วนจากทั้งหมด 18 เกมที่ลงสนาม โดยหากใครจำกันได้มันเป็นนัดที่พบกับ เวสต์แฮม ที่ได้สภาพสนามที่ชุ่มน้ำเป็นตัวช่วยให้เจ้าตัวได้โอกาสยิงประตูแบบฟลุก ๆ อีกต่างหากในเกมวันนั้น

Chelsea's Spanish striker Fernando Torre
Chelsea's Spanish striker Fernando Torre / GLYN KIRK/GettyImages

มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา ? แฟน ๆ สิงห์ไฮโซ ณ เวลานั้นต่างตั้งคำถามในตัวของบุรุษเจ้าของค่าตัวกว่า 50 ล้าน ซึ่งหลาย ๆ คนก็ตีความกันไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าอาจเป็นเพราะเพราะปัญหาความฟิต ? การบาดเจ็บ ? หรือแม้แต่การปรับตัว

กระทั่งฤดูกาลใหม่ 2011/12 เริ่มต้นพร้อมกุนซือหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรง อังเดร วิลาส-โบอาส ทำให้แฟนบอลคาดหวังว่านี่อาจจะเป็นนิมิตหมายอันดีที่ ตอร์เรส จะได้รีเซ็ตความผิดหวังและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่แล้วสุดท้ายเหล่าแฟนคลับก็ต้องพบกับผิดหวัง ที่เจ้าตัวไม่สามารถคืนฟอร์มเก่งเหมือนสมัยค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล ได้ และเห็นได้ชัดว่าความมั่นใจของเขานั้นหายไปจากเดิมมากพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นผลงานของทีมยังย่ำแย่ ทำให้บอร์ดบริหารในขณะนั้นภายใต้บิ๊กบอส โรมัน อบราโมวิช เลือกที่จะปลดกุนซือหนุ่มจาก ปอร์โต้ ออกไป และตั้ง โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ที่ทำหน้าที่สตาฟฟ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมาคุมทีมแทน จนกระทั่งพวกเขาพลิกล็อคถู ๆ ไถ ๆ จนจบซีซั่นด้วยการคว้าแชมป์ติดมือมาถึง 2 รายการด้วยกัน ทั้ง เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่แน่นอนหากพูดถึงผลงานส่วนตัวของ ตอร์เรส ก็ยังพูดได้ว่า "ไม่สมราคา" ยิงได้เพียง 12 ประตูจาก 49 เกมรวมทุกรายการเท่านั้น

FBL-ENG-PR-CHELSEA-MAN UTD
FBL-ENG-PR-CHELSEA-MAN UTD / IAN KINGTON/GettyImages

ต่อมาในปี 2012/13 ช่วงต้นฤดูกาลเหมือนกับว่าดาวยิงเลือดกระทิงดุจะเริ่มคลำเป้าเจออีกครั้ง แต่แล้วก็แผ่วลงเช่นเคยช่วงกลางฤดูกาล กระทั่ง โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ถูกปลด ออกไปและเป็น ราฟา เบนิเตซ ชายผู้นำตัวเขามาสู่ลีกเมืองผู้ดีตบเท้ามารับเผือกร้อน ๆ แทน ซึ่งในยุคของ "ราฟา" ผลงานของ ตอร์เรส ก็ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย จะยิงเยอะในฟุตบอลถ้วยเป็นส่วนใหญ่ และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ ยูโรปาลีก มาครองได้อีกด้วยในปีนั้น

ต่อมาที่ฤดูกาล 2013/14 ราฟา จากไปและเป็น โชเซ มูรินโญ ที่กลับมาคุมทีมอีกครั้ง แต่สำหรับหัวหอก No.9 ก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะเรียกวิญญาณเพชฌฆาตกลับคืนมาได้ ด้วยผลงานเพียง 11 ประตูในทุกรายการ แถมทีมยังจบซีซั่นแบบมือเปล่า และปีนี้เองคือฤดูกาลสุดท้ายของเขาในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เพราะซีซั่นต่อมาเจ้าตัวได้ถูกปล่อยให้กับกับ เอซี มิลาน ยืมตัวก่อนย้ายขาดไป แอตเลติโก มาดริด ปิดตำนาน "เอล นินโญ" แห่งลีกสูงสุดแห่งเมืองผู้ดีนับจากนั้นเป็นต้นมา


ว่ากันมาซะยืดยาว แต่ที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นเป็นเพียงมุมมองมุมหนึ่งที่แฟนฟุตบอลหลายคนมองชีวิตในลอนดอนของ ตอร์เรส ว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่... หากลองมองในมุมหนึ่งที่ต่างออกไป บางทีชีวิตภายใต้สีเสื้อน้ำเงินครามของเขา อาจจะไม่ย่ำแย่ขนาดนั้น แม้ว่าจะเริ่มต้นได้ไม่ดีเท่าใดนัก แต่เจ้าตัวพยายามปรับสไตล์การเล่นให้มีประโยชน์กับทีมมากที่สุด แม้จะทำได้เพียง 11 ประตูในปี 2011/12 แต่ก็สามารถแอสซิสต์ให้กับเพื่อนร่วมทีมได้มากถึง 16 ครั้ง อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการช่วยทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร กับประตูแห่งความทรงจำของ "เด็กสิงห์" ที่เขาเป้นผู้ยิงตีเสมอ บาร์เซโลนา 2-2 ที่ คัมป์ นู ในรอบรองชนะเลิศโดยเป็นจังหวะหลุดเดียวก่อนหลบ วิคตอร์ บัลเดส และยิงโล่ง ๆ เข้าไป ส่ง เชลซี เข้าชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปรายการใหญ่เป็นหนที่สองไปพบกับ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งบรรดาสื่อต่างยกให้ลูกนั้นเป็นประตูมูลค่า 50 ล้านปอนด์ที่เจ้าตัวยิงคืนทุนให้กับ เชลซี เลยทีเดียว

Soccer - UEFA Champions League Semi Final Second Leg - FC Barcelona v Chelsea
Soccer - UEFA Champions League Semi Final Second Leg - FC Barcelona v Chelsea / Matthew Ashton/GettyImages

ซีซั่นต่อมา หลังจากผงาดคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์, เอฟเอ คัพ และ แชมป์ ยูโร 2012 กับทีมชาติสเปน พร้อมดีกรีดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเมนต์มาได้ ดูเจ้าตัวจะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก ราฟา เบนิเตซ เข้ามาคุมทีมชั่วคราวแทนที่ โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ดูได้จากผลงานที่ทำไปมากถึง 22 ประตูกับ 11 แอสซิสต์ในทุกรายการ ซึ่งจำนวนนี้มากที่สุดในการค้าแข้งที่เมืองผู้ดีตลอด 8 ปี เป็นรองเพียงฤดูกาล 2007/08 สมัยอยู่กับ ลิเวอร์พูล เท่านั้นที่ทำไปได้ 33 ประตูกับ 5 แอสซิสต์ นอกจากนี้ในซีซั่น 2012/13 ตอร์เรส ยังเป็นผู้ยิงประตูสำคัญช่วยเบิกร่องให้กับทีมในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า ยูโรปาลีก ที่พบกับ เบนฟิกา จนสุดท้ายเกมจบลงด้วยชัยชนะของสิงโตน้ำเงินคราม 2-1 สร้างประวัติศาสตร์คว้า 2 ถ้วยยุโรปในเวลา 2 ปีติดต่อกันได้สำเร็จอีกด้วย

แน่นอนว่าในมุมของแฟนบอล เชลซี หลายคน ตอร์เรส อาจจะไม่ใช่กองหน้าที่ดีที่สุดของสโมสร แถมผลงานก็ค่อนข้างผิดไปจากความคาดหวังไม่ต่างกับเหล่ากองหน้าบิ๊กเนมที่ย้ายมาล้มเหลวไม่เป็นท่าอย่าง อังเดร เชฟเชนโก้, เฮอร์นัน เครสโป, มาเตยา เคซมัน อัลบาโร โมราตา หรือ โรเมลู ลูกากู แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ เอล นินโญ ดูจะแตกต่างออกไปก็คือ ความมุ่งมันและทุ่มเทที่มอบให้กับสโมสรอย่างเต็มที่ ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างไม่ย่อท้อแม้จะถูกตำหนิติเตียนหรอืถูกวิจารณ์หนักหน่าวมากเพียงใด จนในที่สุดก็สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรได้สำเร็จ

แม้ เฟร์นันโด ตอร์เรส จะไม่ได้ถูกจดจำในฐานะตำนานกองหน้าของ เชลซี เหมือนอย่าง จิอันฟรังโก โซลา หรือ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ไม่มีเทสติโมเนียลแมทช์ก่อนอำลา ไม่มีรูปปั้นอนุสาวรีย์ใด ๆ ให้ระลึกถึง แต่เชื่อได้เลยว่าผลงานที่เจ้าตัวฝากเอาไว้ รวมถึงความสำเร็จสูงสุดในยุคที่มีเขายืนตระหง่านเป็นหัวหอกตัวความหวังนั้น จะถูกจดจำและตราตึงอยู่ในหัวใจของแฟนบอล สิงโตน้ำเงินคราม ยุคนั้นไปอีกนานแสนนานอย่างแน่นอน... 

FBL-EUR-C1-BAYERN MUNICH-CHELSEA
FBL-EUR-C1-BAYERN MUNICH-CHELSEA / ADRIAN DENNIS/GettyImages

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของทีม เชลซี ได้ที่นี่

feed