ช่วงเวลาสั้นๆ กับตำแหน่งจ่าฝูงที่มีความหมายสำหรับ ลิเวอร์พูล - OPINION

  • ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน แบบรูปเกมอึดอัด
  • หงส์แดง คว้า 3 คะแนนในเกมนั้นก่อนขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงชั่วคราว
Liverpool FC v Everton FC - Premier League
Liverpool FC v Everton FC - Premier League / MB Media/GettyImages
facebooktwitterreddit

ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายใต้การนำทัพของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เทรนเนอร์ชาวเยอรมัน มีโอกาสขึ้นไปสัมผัสตำแหน่งจ่าฝูงเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หลังเปิด แอนฟิลด์ เชือด เอฟเวอร์ตัน ที่เหลือ 10 คน 2-0 ในเกมคู่แรกเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายอย่างมากสำหรับ “หงส์แดง”

การลงเล่นเป็นคู่แรกหลังกลับมาจากพักเบรกทีมชาติ และต้องทำศึก “เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แมทช์”กับ เอฟเวอร์ตัน ไม่ใช่งานง่ายอยู่แล้ว แต่ ลิเวอร์พูล ก็ยังสามารถบดเอาชนะทีมเยือนได้สำเร็จ แม้จะต้องอึดอัดตลอดทั้งเกมก็ตาม

Jurgen Klopp, Kostas Tsimikas
Liverpool FC v Everton FC - Premier League / Robbie Jay Barratt - AMA/GettyImages

ก่อนเกมกับ เอฟเวอร์ตัน นั้น คล็อปป์ ต้องเจอปัญหามากมายทั้งฝั่งซ้าย เนื่องจาก แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็คซ้ายตัวหลักได้รับบาดเจ็บยาว ขณะที่ เคอร์ติส โจนส์ ที่ลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ฝั่งซ้ายเป็นประจำ ยังคงติดโทษแบน

คล็อปป์ ตัดสินใจเลือกใช้งาน คอสตาส ซิมิกาส แบ็คซ้ายทีมชาติกรีซได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงแทนที่ โรเบิร์ตสัน ที่ได้รับบาดเจ็บยาว และ ไรอัน กราเวนแบร์ช กองกลางดาวรุ่งชาวดัตช์ ที่ลงเล่นแทน โจนส์ ซึ่งทั้งคู่ก็ทำผลงานได้น่าพอใจ

ซิมิกาส วัย 27 ปี ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีทั้งในการเกมเล่นเกมรับ และการช่วยทีมเติมเกมรุก รวมถึงเปิดบอลสวยๆได้อยู่หลายครั้ง ส่วน  กราเวนแบร์ช วัย 21 ปี ก็ยืนปักหลักประจำการในตำแหน่งมิดฟิลด์ฝั่งซ้ายได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งในการครองบอล ขับเคลื่อนเกม และเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่กดดัน

ขณะเดียวกัน เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูล มักทำผลงานได้ย่ำแย่มากในการเตะเป็นคู่แรก โดยลูกทีมของ คล็อปป์ ไม่สามารถชนะใครได้เลยจาก 6 เกม ที่ลงเล่นในเวลา 12.30 น. แต่ในซีซันนี้ ผลลัพธ์แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

จากการลงเล่น 2 เกม ในคู่แรกของซีซันนี้ ลิเวอร์พูล สามารถบุกไปเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส และเปิดบ้านทุบ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่า พลพรรค “หงส์แดง” กำลังมีความมั่นใจมากขึ้น และมีขุมกำลังเชิงลึกที่ดีกว่าปีที่ผ่านมา

Jurgen Klopp, Dominik Szoboszlai
Liverpool FC v Everton FC - Premier League / Robbie Jay Barratt - AMA/GettyImages

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล เวอร์ชั่น 2.0 ยังคงมีเรื่องที่ต้องปรับปรุงพอสมควร โดยเกมกับ เอฟเวอร์ตัน พวกเขามีโอกาสยิงมากถึง 15 ครั้ง ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง และมีเพียงลูกเดียวที่ตรงกรอบ รวมถึงไม่สามารถสร้างปัญหาให้ จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวาร “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ได้เลย

แน่นอนว่า มันเป็นมันงานยากเสมอที่จะเจาะแผงแนวรับของผู้เล่นที่ยืนปักหลักในแดนตัวเอง 10 คน ลิเวอร์พูล เล่นได้ขาดๆเกินๆ และจ่ายบอลสุดท้ายได้ไม่เด็ดขาด จนกระทั่งตัวสำรองอย่าง ฮาร์วีย์ เอลเลียต และ ดาร์วิน นูนเญซ ลงมาเปลี่ยนจังหวะของเกมให้เร็วขึ้น  

เกมรุกที่ไม่ลงตัวทั้งที่มีโอกาสมากมายทำให้ คล็อปป์ และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช ลิเวอร์พูล มีการบ้านที่ต้องกลับไปขบคิดกับเกมลีกนัดต่อไปที่จะเปิดบ้านเจอกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ของ สตีฟ คูเปอร์ ซึ่งน่าจะมาเน้นเกมรับเป็นหลักแน่นอน

สำหรับแฟนบอลทีมอื่นๆ พวกเขาอาจมองว่า มันเพิ่งเป็นแค่เดือนตุลาคมเท่านั้น และยังคงติดสินทิศทางของทีมไม่ได้ แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล การคว้า 3 คะแนน เพื่อก้าวขึ้นไปยืนเป็นจ่าฝูงหลังจบเกมพักเบรกทีมชาติ ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการแน่นอน แม้มันจะเป็นระยะเวลาแค่ไม่กี่นาทีก็ตาม

นอกจากนี้ การเก็บชัยชนะได้ต่อเนื่อง จะทำให้ ลิเวอร์พูล ค่อยๆเพื่มความมั่นใจ และพาตัวเองไปอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์ได้จนจบซีซัน ซึ่งการได้เบียดมายืนเป็นอันดับ 1 ชั่วคราวก็หมายความว่า ทีมของ คล็อปป์ พร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงอย่างเต็มตัว