ปัญหาที่ชัดเจนของ ลิเวอร์พูล หลังจบเกม “แดงเดือด” - OPINION

  • ลิเวอร์พูล เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไม่มีสกอร์
  • นักเตะหลายคนเล่นต่ำกว่ามาตรฐาน
  • “หงส์แดง” กำลังมีปัญหาในแนวรุก
Liverpool FC v Manchester United - Premier League
Liverpool FC v Manchester United - Premier League / Clive Brunskill/GettyImages
facebooktwitterreddit

ก่อนศึก “แดงเดือด” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจะฟาดแข้ง ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์แห่งศึก พรีเมียร์ลีก ภายใต้การนำทัพของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ดูเหมือนจะเหนือกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พอสมควรทั้งอันดับในตารางคะแนน ฟอร์มการเล่น สภาพความพร้อมของทีม และเสียงเชียร์แฟนบอลในถิ่น แอนฟิลด์

อย่างไรก็ตาม พลพรรค “หงส์แดง” กลับฟอร์มหลุดอย่างไม่น่าเชื่อ และทิ้งโอกาสทำประตูไปมากมายทั้งที่ครองบอลบุกใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด ตลอดทั้งเกม ซึ่งทำให้พวกเขาพลาดโอกาสที่จะรั้งจ่าฝูงต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์แบบน่าเสียดาย

Scott McTominay, Ryan Gravenberch, Wataru Endo
Liverpool FC v Manchester United - Premier League / Clive Brunskill/GettyImages

ภาพรวมในเกม ลิเวอร์พูล ครองบอลได้เยอะก็จริง และการประสานงานกันทางฝั่งขวาของ โดมินิค โซบอสไล, โมฮาเห็มด ซาลาห์ และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดูเหมือนจะไม่เข้าขาลงตัว และเร่งจังหวะกันมากเกินไป

ขณะเดียวกัน บรรดานักเตะ ลิเวอร์พูล ขาดความเฉียบคมในพื้นที่สุดท้ายกันไปเอง ซึ่งต้องทำให้ดีกว่านี้ในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ การเคลื่อนที่ และการตัดสินใจว่า จะยิงประตูในจังหวะใด และในที่สุดพวกเขาไม่สามารถเจาะตาข่ายทีมของ เอริก เทน ฮาก ได้

ในแผงกองกลาง วาตารุ เอนโด พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สามารถลงสนามในเกม “บิ๊กแมทช์” ได้ โดยกองกลางตัวรับกัปตันทีมชาติญี่ปุ่น ยืนปักหลักหน้าแผงแนวรับได้อย่างแข็งแกร่งตลอด 90 นาที ช่วยคุมจังหวะเกม และยังมีจังหวะตัดบอลสวยๆหลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม มิดฟิลด์อีก 2 ราย ที่เล่นร่วมกันอย่าง โดมินิก โซบอสไล และ ไรอัน กราเวนเบิร์ช กลับไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งออกมาได้ และทั้งคู่ก็แทบไม่ได้สร้างผลกระทบได้มากนัก ซึ่งสุดท้ายก็ต้องโดนเปลี่ยนตัวออกมา

Mohamed Salah
Liverpool FC v Manchester United - Premier League / Clive Brunskill/GettyImages

หลังจากครึ่งแรก ลิเวอร์พูล แทบจะหาจังหวะจบสกอร์แบบจะแจ้งไม่ได้ คล็อปป์ ควรตัดสินใจเปลี่ยนตัวตั้งแต่ช่วงพักครึ่ง แต่เทรนเนอร์ชาวเยอรมัน เลือกเปลี่ยนตัวสำรองช้าเกินไปจนล่วงเลยมาถึงนาทีที่ 61 โดยให้ โจ โกเมซ กับ โคดี กัคโป ถึงได้ลงมาแทน โซบอสไล และ กราเวนเบิร์ช

หลังจากตัวสำรองที่เปลี่ยนลงมาไม่ได้ผล คล็อปป์ จึงตัดสินใจใช้ตัวสำรองอีก 2 คนอย่าง เคอร์ติส โจนส์ กับ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ที่ลงมาแทน หลุยส์ ดิอาซ และ ดาร์วิน นูนเญซ ที่เล่นไม่ออกทั้งคู่ แต่ก็ยังมารถผ่านด่านแนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เลย

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ การเพรสซิ่ง การแย่งบอลกลับมา การครองบอล และการป้องกันไม่ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด สร้างสรรค์เกมขึ้นจากแดนตัวเอง นั้น ลิเวอร์พูล ทำได้ดีแล้ว แต่การจบสกอร์ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามสำหรับทีมของ คล็อปป์ ต่อไป

ซาลาห์ มีโอกาสยิงตรงกอบ 2-3 ครั้ง แต่มันก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับ อังเดร โอนาน่า โกล์ แมนฯ ยูไนเต็ดขณะที่ ดิอาซ และ นูนเญซ แทบไม่มีโอกาสง้างเท้าสับไกเลย ส่วน กัคโป ก็มีโอกาสเยอะหลังเปลี่ยนตัวลงมาแต่ก็ยิงไปติดบล็อกนักเตะ “ปีศาจแดง”

ในเกมลีกนัดต่อไป ลิเวอร์พูล มีงานหนักที่ต้องเปิดบ้านรับมือทีมจ่าฝูงอย่าง อาร์เซนอล ในสุดสัปดาห์หน้า ซึ่งหากยังแก้ไขปัญหาแนวรุกฝืดไม่ได้ นั้น ทีมของ คล็อปป์ ก็อาจโดน “ปืนใหญ่” ทำแต้มทิ้งห่างไปเรื่อยๆก็เป็นได้