ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ของ ลิเวอร์พูล ในฟุตบอลยุโรปฤดูกาลนี้ - OPINION
โดย Navapun Munarsa
ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเลกแรก เมื่อคืนที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล โดน เรอัล มาดริด บุกไปสอนบอลถึง แอนฟิลด์ 5-2 ซึ่งมองตามความเป็นจริง ณ ฟอร์มการเล่น และสภาพทีมปัจจุบัน “หงส์แดง” แทบหมดโอกาสเข้ารอบต่อไปแบบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว แม้จะมีเกมนัดที่ 2 ให้แก้ตัวก็ตาม
ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ทำประตูขึ้นนำ มาดริด ไปก่อน 2 ลูกด้วยความคึกคัก แต่หลังจากนั้น ลูกทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ยอดโค้ชชาวอิตาเลียน ก็แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นกว่าชุดเจนทั้งในเรื่องทีมเวิร์ค และความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะ
บรรยากาศก่อนเริ่มการแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือด ความคาดหวังของสาวก “เดอะ ค็อป” ที่จะได้เห็นทีมรักแก้แค้น มาดริด จากนัดชิงฯ เมื่อฤดูกาลที่แล้วยังเต็มเปี่ยม แต่หลังจบเกมผลลัพธ์มันออกมาแบบที่ ลิเวอร์พูล โยนโอกาวเข้ารอบต่อไปแทบจะค่อนตัวแล้ว
สถิติที่พบกัน 5 เกมหลังสุดนั้น ลิเวอร์พูล ไม่สามารถเอาชนะ มาดริด ได้เลย ซึ่งเกมนี้ “ราชันชุดขาว” ก็ย้ำแค้นได้อีก และที่สำคัญลูกทีมของ อันเชล็อตติ สร้างความเจ็บปวดด้วนการทำให้ “หงส์แดง” เสีย 5 ประตูในเกมยุโรปที่ แอนฟิลด์ เป็นครั้งแรกอีกด้วย
ย้อนกลับไปในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศในปี 2019 ลิเวอร์พูล บุกไปพ่าย บาร์เซโลน่า ที่ คัมป์ นู ก่อน 3-0 แต่กลับมาเอาชนะได้ที่ แอนฟิลด์ 4-0 พร้อมกับทะลุเข้าไปคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ของสโมสรได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม กับ มาดริด ปาฏิหาริย์คงไม่เกิดขึ้น เนื่องจาก “ราชันชุดขาว” มีชุมกำลังที่แข็งแกร่งกว่า บาร์เซโลน่า ในปีนั้น และยังได้กลับไปเล่นใน ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ในเลก 2 ซึ่งมองดูแล้วแทบไม่มีทางที่ ลิเวอร์พูล จะบุกไปเอาชนะได้เลย
ชัยชนะในเกมลีก 2 นัดล่าสุดกับ เอฟเวอร์ตัน และ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด สามารถบ่งบอกได้ว่า ลิเวอร์พูล เริ่มกระเตื้องขึ้นมา แต่ยังคงมีความสงสัยว่า “หงส์แดง” จะกลับมาเป็นทีมเดิมแล้วจริงหรือไม่ และ มาดริด ก็ให้คำตอบมาแล้ว
มาดริด ไม่ตื่นตระหนักแม้เป็นฝ้ายตามหลังไปก่อน 2 ประตู โดยลูกทีมของ อันเชล็อตติ ค่อยๆครองเกม เอาตัวรอดจากการถูกเพรสซิ่ง และฉวยโอกาสจากความหละหลวมในเกมรับของ ลิเวอร์พูล เอาชนะไปอย่างง่ายดาย
ในเกมนี้ แนวรับของ ลิเวอร์พูล ที่ว่าแย่แล้ว แต่กองกลางของพวกเขาแย่ยิ่งกว่า โดย ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ สเตฟาน บายจ์เซติช ปล่อยให้ ลูก้า โมดริช ในวัย 37 ปี บัญชาเกม และสร้างสรรค์เกมได้แบบสบายๆ
ฟาบินโญ่, เฮนเดอร์สัน และ บายจ์เซติช ไม่มีความสามารถในการหยุดเกมของ โมดริช เพียงคนเดียวได้เลย ซึ่งไม่รวมถึง เฟเดริโก บัลเบร์เด้ และ เอดูอาร์โด กามาวินก้า 2 มิดฟิลด์ มาดริด ที่ทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง
มาดริด เป็นทีมที่ยอดเยี่ยม และเล่นฟุตบอลด้วยความสมดุล พวกเขาไม่จำเป็นต้องไล่เพรสซิ่งเพื่อเอาบอลกลับคืนมา แต่ใช้การอ่านเกมที่แม่นยำตัดบอลจาก ลิเวอร์พูล ได้ ก่อนจะใช้โอกาสที่ไม่เปลืองจากแนวรุกในการจบสกอร์
อย่างไรกตาม คล็อปป์ ไม่คิดว่ามันจบลงแล้ว และคิดว่ายังมีโอกาสพลิกสถานการณ์สร้างบิ๊กเซอร์ไพรส์ที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว เพื่อเข้ารอบต่อไปได้ แต่เมื่อมองดู “หงส์แดง” ชุดนี้ที่มีแผลทั่วทั้งทีมนั้น มันก็คงเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน