โซลันกี้ – โทนีย์ กับความเป็นไปได้สำหรับ อาร์เซนอล - OPINION
- กองหน้า อาร์เซนอล สองคนในฤดูกาลนี้ยิงรวมกันเพียง 7 จาก 33 ประตูที่ทำไดh
- โซลันกี้ทำไป 8 ประตูในพรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้ ขณะที่ โทนีย์ อยู่ในระหว่างการชดใช้โทษแบน
ชื่อของ โดมินิค โซลันกี้ (26 ปี สัญญาถึงกลางปี 2027) และ ไอวาน โทนีย์ (27 ปี สัญญาถึงกลางปี 2025) กลายเป็นข่าวในช่วงหลายวันที่ผ่านมา และอาจจะมากกว่ากว่านั้นสำหรับหัวหอกจาก เบรนท์ฟอร์ด กับ อาร์เซนอล ที่ตกเป็นข่าวว่าพวกเขาอยากได้กองหน้าเสียเหลือเกิน หลังจากที่ผลประกอบการกองหน้าปืนใหญ่ค่อนข้างฝืดเคือง และมันคงจะ “ดี” ถ้าในตลาดการซื้อขายมกราคมนี้ พวกเขาจะเสริมกองหน้าเข้ามาเพื่อเพิ่มทางเลือก และโอกาสในการไปสู่เป้าหมาย
อาร์เซนอล ถูกระบุมาตลอดว่า พวกเขาจะเสริมกองหน้าเป็นหนึ่งในแผนหลักของฤดูกาลหน้า แต่สำหรับมกราคม 2024 มิเคล อาร์เตต้า ก็แบ่งรับแบ่งสู้ด้วยการระบุว่า พวกเขาจะประเมินสถานการณ์หน้างานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผลงานของทีม ปัญหานักเตะบาดเจ็บ ไปจนถึงโอกาสในการได้ตัวนักเตะที่เล็งเป็นเป้าหมายไว้ว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหน
ตลาดมกราคม 2023 พวกเขาทำให้เห็นมาแล้วว่าพวกเขาพร้อมลงทุนกับนักเตะ แม้จะเสียเวลาและไม่ได้ตัว มิไฮโล มูดริค ที่ถูกเชลซีปาดหน้าชิงตัวไป แต่พวกเขาก็ชัดเจนมากพอว่า ถ้านักเตะคนนั้น “ใช่ที่สุด” พวกเขาก็พร้อมจะทุ่มเทเวลา และการเงินเท่าที่เป็นไปได้จนสุดทาง ก่อนจะมาจบด้วยการได้ เลอันโดร ทรอตซาร์ มาร่วมงานด้วย ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน และถูกมองว่าอาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าเสียด้วยซ้ำ เมื่อมองถึงวันนี้ มูดริค กับเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์จะครบหนึ่งปีที่เขาย้ายมาเล่นในอังกฤษ แต่ก็ยังไม่คืนฟอร์มเก่งแบบสมัยที่เล่นในยูเครนได้เลย
ดังนั้นวันนี้ คอนเทนต์นี้เราจะนำพาให้รู้จักกับทั้งสองคนกันให้มากขึ้นสักหน่อยครับ กับความเป็นไปได้ของนักเตะทั้งสองคนกับการย้ายทีมสู่ลอนดอนเหนือ
รู้จักกับ “โซลันกี้”
โซลันกี้ นั้นพัฒนาตนเองจากการเล่นเป็นกองกลางตัวรุกจนกลายมาเป็นกองหน้า เขาสร้างชื่อกับทีมเยาวชนเชลซี ก่อนจะมีชื่อเสียงในการลงเล่นกับทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชนกับแชมป์ยูโร อายุต่ำกว่า 17 ปี ในปี 2014 ตามด้วยแชมป์โลกรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปีในปี 2017 เส้นกราฟชีวิตของเขาพุ่งมากจนกระทั่ง ลิเวอร์พูล ดึงตัวมาร่วมงานด้วยหลังหมดสัญญากับเชลซี แต่ก็อยู่ได้แค่ปีเดียว ย้ายมาเล่นกับ บอร์นมัธ ด้วยค่าตัวร่วม 20 ล้านปอนด์ ตกชั้นกับทีมมาแล้วหนึ่งครั้ง เล่นในลีกล่างอยู่สองปี สิริรวมถึงเวลานี้ โซลันกี้ เล่นพรีเมียร์ ลีก ในฐานะตัวหลักเข้าสู่ปีที่ 4
รู้จักกับ “โทนีย์”
เริ่มต้นกับทีมเยาวชนนอร์ทแธมป์ตัน ตอนอายุ 16 และย้ายไปนิวคาสเซิ่ลในอีก 3 ปีต่อมาที่ได้ลงเล่นไปแค่สองเกม ที่เหลือคือการย้ายแบบยืมตัวไป 4 ปี 4 สโมสร 6 รอบการยืมตัว ผ่านมาแล้วทั้ง ลีกทู ลีกวัน เดอะแชมเปี้ยนชิพ และ พรีเมียร์ ลีก สุดท้ายมาตั้งหลักได้กับ ปีเตอร์โบโร่ ฟอร์มยิงเข้าขั้นพีคจนไปย้ายมาเล่นกับ เบรนท์ฟอร์ด เพียงหนึ่งปีก็พาทีมเลื่อนชั้น จากการกระหน่ำไป 31 ประตู ปีที่แล้วฟอร์มสดยิงไป 20 ประตูในพรีเมียร์ ลีก ก่อนจะโดนแบนยาวจากข้อหาการเดิมพันฟุตบอล และโทษแบนจะสิ้นสุดในวันที่ 16 มกราคม 2024 หรือก็คืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
Style of Play
จากความเห็นของผมทั้งสองคนมีความเหมือนกันพอสมควร ในเรื่องของการเป็นกองหน้าตัวในกรอบเขตโทษ โซลันกี้ อาจจะต่างไปเล็กน้อย เพราะเขาพัฒนาตนเองจากการเล่นเป็นกองกลางตัวรุกจนกลายมาเป็นกองหน้า และนั่นทำให้เขามีการเล่นที่ออกมานอกกรอบเขตโทษมากกว่า โทนีย์ ที่จะเป็น Fox in the box ชัดเจน แต่ด้วยการเล่นของ บอร์นมัธ ปีนี้ อันโดนี่ อิราโอล่า เข้ามาทำทีม และเพิ่มเกมรุกด้วยการเปิดบอลเข้ากรอบเขตโทษจากทางด้านข้างก็ช่วยให้ โซลันกี้ ได้แสดงศักยภาพการเป็นตัวเข้าฮอสได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ปีนี้เขาทำไป 8 ประตู แทบทั้งสิ้นเป็นการได้บอลในกรอบ และเอาตัวรอดก่อนสบโอกาสยิงประตู ขณะที่ โทนีย์ ชัดเจนด้วยจำนวนประตูมากมายที่เกิดขึ้นในพรีเมียร์ ลีก ของเขานอกจากการยิงในเขตโทษ และการสังหารจุดโทษแล้ว เขามีประตูเดียวเท่านั้นที่ยิงได้จากนอกกรอบเขตโทษ
เมื่อมองการเล่นของอาร์เซนอล ที่ชื่นชอบการเจาะด้วยการใช้งานตัวริมเส้นสองฝั่ง เปิดหักเข้ากลาง ให้เข้าทำทั้งแบบจ่ายวัดใจบริเวณกรอบหกหลา หรือหักออกมาบริเวณจุดโทษ หรือหน้ากรอบเขตโทษ ทั้งสองคนดูจะตอบโจทย์ความต้องการใครสักคนในพื้นที่ทุ่งสังหาร
มิเคล อาร์เตต้า เคยกล่าวไว้ว่าทีมสามารถสร้างโอกาสได้เยอะ แต่ก็มักจะมีหลายสัมภาษณ์ที่พูดถึงการขาดหายไปของการเข้าทำในพื้นที่สุดท้าย กองหน้าที่พวกเขาใช้งานทั้ง กาเบรียล เซซุส (2 ประตูในลีก) ที่ชื่นชอบการใช้ความสามารถเฉพาะตัวเจาะพื้นที่เปิดโอกาสในการเข้าทำ และ เอ็ดดี้ เอนเคเธีย (5 ประตูในลีก) ที่มีความไม่แน่นอนในฟอร์มการเล่น และมีปัญหาหลายครั้งในเรื่องการเก็บบอลในแดนหน้า การเข้ามาของกองหน้าในสไตล์ โซลันกี้ หรือว่า โทนีย์ ก็ดูจะตอบความต้องการตรงนี้ได้
อาร์เซนอล เป็นทีมที่เล่นบอลบนพื้นมากกว่าการเล่นบอลกลางอากาศ ตั้งแต่การเซตอัพในแนวรับ มาจนถึงวิธีการเข้าทำในพื้นที่โจมตี ในจังหวะโอเพ่นเพลย์ ไม่แปลกเลยที่ทำไมพวกเขาไม่เคยมีข่าวกับกองหน้าตัวใหญ่ลูกกลางอากาศดีนัก แต่มักจะเลือกตัวที่มีความปราดเปรียวเข้ามาเสริมทีม ขณะที่เรื่องของการเล่นเซตเพลย์ เป้าหมายหลักมักตกเป็นของ วิลเลี่ยม ซาลิบา หรือ กาเบรียล มากัญไญส์ สองเซนเตอร์ของทีมมากกว่าใคร ๆ
หากมองในมุมของการสลับตำแหน่งในเรื่องของตำแหน่งการยืนที่อาร์เซนอล มักจะหมุนเวียนระหว่างเกมการแข่งขัน ตำแหน่งแน่นอน โซลันกี้ ดูจะเหมาะกว่า แต่ถ้ามองว่า โทนีย์ เข้ามาเพื่อเพิ่มมิติการเล่นให้กับทีม มันก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจทีเดียว
โอกาสในการได้ตัว
เราจะแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกันคือในส่วนของอาร์เซนอล และในส่วนของคู่ค้าที่หากเกิดการเจรจาขึ้นจริง
ในส่วนของอาร์เซนอล : พวกเขาดูจะมีปัญหาเรื่องของการใช้งบประมาณไม่มากก็น้อย หลังจากลงทุนไป 200 ล้านปอนด์ในตลาดการซื้อขายรอบล่าสุด และดีลการยืมตัวของ ดาบิด ราย่า ที่ดีลด้วยการยืมตัวพร้อมออฟชั่นซื้อขาดภายในปี 2024 ทำให้เห็นได้ชัดว่า ปัญหาเรื่องการใช้เงินเพื่อให้สอดคล้องกับ FFP อาร์เซนอล ดูจะระแวดระวังมาก การลงทุนของทีมลงทุนไปมากกว่า 500 ล้านปอนด์ใน 3 ปี 5 ตลาดการซื้อขาย แต่การคืนกลับของการขายนักเตะก็ไม่ได้ว่ามากมายนัก ถ้ามองกันแบบตรงไปตรงมา พวกเขาอาจจะได้เงินจากการกลับไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นเงินในอนาคต และยิ่งเข้ารอบลึกเงินก็ยิ่งได้มาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะพร้อมจ่ายหนัก ๆ ในตลาดการซื้อขายได้แบบในรอบก่อน ดังนั้นดีลของอาร์เซนอล กับการซื้อขายรอบนี้ไม่ง่ายสำหรับพวกเขา พวกเขาอาจจะมีงบประมาณมากอยู่ แต่โครงสร้างการจ่ายเงินก็ต้องสอดคล้องที่จะทำให้พวกเขาจ่ายไหวในกรอบของความพึงพอใจของทุกฝ่ายด้วย
ขณะเดียวกันมันคงจะดีแน่ ถ้าอาร์เซนอลสามารถปล่อยนักเตะสำรอง หรือคนที่ไม่ได้ใช้งานออกไปบ้างอย่างได้ราคา ก็จะเพิ่มโอกาสในการได้ตัวนักเตะใหม่เป็นไปได้มากกว่าเดิม ข่าวที่ว่า อาร์เซนอล อาจปล่อยตัว เอมิล สมิธ โรว์ ที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสเท่าไรนักจึงมีข่าวออกมาด้วยเหตุผลในเรื่องนี้
ในส่วนของคู่ค้า
ไอวาน โทนีย์ กับ เบรนท์ฟอร์ด : การไม่มีโทนีย์ในช่วงที่ติดโทษแบน โยอันน์ วิสซ่า และ ไบรอัน เอ็มโบโม่ คือคนที่เข้ามารับงานหลัก พวกเขาอาจจะมี เควิด เชด และ นีล มัลเปย์ มาเสริมทีม แต่ด้วยผลงานแล้ว มันก็คงดีกว่าถ้า โทนีย์ คัมแบ็คกลับมาได้ ยิ่งพวกเขาเสีย เอ็มโบโม่ จากการผ่าตัดข้อเท้าพักยาว 12 สัปดาห์ โอกาสในการปล่อยโทนีย์ก็ยิ่งไม่อยากให้เกิดขึ้น แถมอาจจะมองหาทางเลือกเพิ่มเสียด้วยซ้ำ ปัญหาเดียวคือระยะสัญญาของ โทนีย์ กับทีมจะหมดลงในกลางปี 2025 ซึ่งนั่นหมายความว่า หากก้าวพ้นตลาดมกราคมนี้ไปแล้ว เบรนท์ฟอร์ด จะเหลือตลาดการซื้อขายเดียวในการเรียกราคา และทำทุกทางในการต่อสัญญาใหม่ให้จงได้ และแน่นอนราคาในรอบนี้จะถูกโก่งสูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะทีมก็ไม่อยู่ในฟอร์มที่ดีอะไรนัก
โดมินิก โซลันกี้ กับ บอร์นมัธ : คนนี้จะยากมากในเรื่องของสัญญาเพราะนักเตะเพิ่งต่อสัญญากับทีมไปในปี 2023 เท่ากับสัญญาจะเหลือยาวเกือบ 4 ปีเต็ม ที่ทำให้บอร์นมัธถือครองความได้เปรียบในการเจรจา พวกเขาขอแค่รักษาสถานะการเป็นทีมพรีเมียร์ ลีก ต่อไปในฤดูกาลหน้าเป็นอย่างน้อย พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขายนักเตะไม่ได้ราคา โซลันกี้ แจ้งเกิดแบบเต็มตัวกับที่นี่ ดังนั้นยากจะได้เห็นการหักกับทีมตัวเอง
ดังนั้นหากมองกันในส่วนนี้ หากต้องการซื้อขายในเดือนมกราคมให้ได้ ยังไงก็ต้องใช้งบประมาณก้อนใหญ่ และเงื่อนไขการปล่อยตัวไม่ง่ายเลยสำหรับทั้งสองคน อย่างไรก็ตามสิ่งที่อาร์เซนอลให้ได้ในแบบที่ทั้งสองทีมไม่มีคือ โอกาสในการเล่นทีมใหญ่ที่มีโอกาสลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว รวมถึงการลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก รายการแข่งขันที่ใครก็อยากจะได้เข้าร่วมสักครั้ง เช่นเดียวกับเรื่องของการเงินที่จะได้รับมากขึ้นแน่
การเงิน - โอกาส คือความท้าทายที่น่าสนใจ แต่ในทางกลับกันเรื่องของโอกาส “ดับ” ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี การย้ายทีมราคาแพงก็ไม่ได้การันตีว่าจะฟอร์มดี หรือว่าเก่งกับทีมหนึ่งแล้วต้องฟอร์มดีกับอีกทีม ดังนั้นส่วนนี้ทั้งทีมที่จะซื้อ และนักเตะที่จะย้ายคงต้องประเมินกันอย่างหนัก เพราะทั้งสองคนไม่ใช่ดาวรุ่งอีกแล้ว และกำลังเข้าสู่ช่วงวัย 30 ปีในอีกไม่นานนี้ทั้งคู่
ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า อาร์เซนอล จะเดินเกมอย่างไรกับตลาดการซื้อขายในรอบที่จะถึงนี้ ในฤดูกาลที่พวกเขาผ่านบทเรียนแสนแพงมาแล้วกับการผ้าป่าคว่ำในช่วงท้ายฤดูกาลก่อน มาวันนี้พวกเขาเข้าสู่จุด “เติมน้ำมัน” อีกครั้ง และครั้งนี้พวกเขาจะเดินเกมอย่างไร เพื่อลดโอกาสแห่งความฉิบหายให้น้อยลง และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเป้าหมายให้มากที่สุด เพื่อสิ้นสุดการรอคอยมานานถึง 2 ทศวรรษลงให้จงได้