สมการที่ไม่ลงตัวของ ปารีสฯ เอ็มบั๊บเป้ และ อาร์เซนอล - OPINION

• เอ็มบั๊บเป้ กำลังจะหมดสัญญากับ เปแอสเช ในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน 2024

• อาร์เซนอล ตกเป็นข่าวกับเอ็มบั๊บเป้ มาตั้งแต่สมัยนักเตะเริ่มต้นกับ อาแอส โมนาโก ในปี 2017
TOPSHOT-FBL-FRA-ASSOCIATION-CHILDREN
TOPSHOT-FBL-FRA-ASSOCIATION-CHILDREN / JOEL SAGET/GettyImages
facebooktwitterreddit

อาร์เซนอล ตกเป็นข่าวเป็นหนึ่งในสโมสรที่จะมาต่อคิวเซ็นสัญญากับ คิลิยัน เอ็มบั๊บเป้ (25 ปี สัญญาถึงกลางปี 2024) กองหน้าที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลรุ่นต่อไป หลังจบยุคสมัยของ ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ต่างอำลาเวทีฟุตบอลยุโรปไปแล้วทั้งคู่

เป็นไปได้หรือไม่ นี่คือบทความที่ไม่ได้บอกว่าได้หรือไม่ได้ แต่อยากให้อ่านและลองวิเคราะห์กันต่อ ทั้งหมดนี้คือความเห็นเจือปนข้อมูลที่หามาได้ทั้งหมด ต้องขอบคุณ คุณดล ตัวแทนจากเพจ เปแอสเช ไทยแลนด์ ที่การนั่งสนทนากันเกือบหนึ่งชั่วโมง ที่สัพเพเหระหลายเรื่อง ทำให้เข้าใจเรื่องราวของยอดทีมแห่งกรุงปารีสได้มากขึ้น

Kylian Mbappe
Paris Saint-Germain v Real Sociedad: Round of 16 First Leg - UEFA Champions League 2023/24 / Juan Manuel Serrano Arce/GettyImages

เล่าข่าวปูเรื่องสักหน่อย

คิลิยัน เอ็มบั๊บเป้ (เจ้าตัวเคยสัมภาษณ์กับสื่อฝรั่งเศสว่าชื่อของเขาอ่านว่า คีเลียน บั๊บเป้ แต่บทความนี้จะเขียนชื่อตามความนิยมในการเรียกชื่อของเขาในเมืองไทย) หลังจากปล่อยให้เรื่องคาราคาซังกันมานานกับอนาคตของเขา สุดท้ายก็มีความชัดเจนแล้วว่า นักเตะ ได้แจ้งไปยัง เปแอสเช ต้นสังกัดในความปรารถนาจะลาทีม ซึ่งครั้งนี้น่าจะไม่เหมือน 2 ปีก่อนที่ก็สถานการณ์คล้ายกัน แต่สุดท้าย เอ็มบั๊บเป้ เปลี่ยนใจต่อสัญญาใหม่ ซึ่งเป็นสัญญาที่เซ็นกันจนถึงกลางปี 2025 ในแบบ 2+1 ปี โดยที่สัญญา +1 จะไม่เกิดขึ้นตามข่าวที่ออกมา และนั่นทำให้ เอ็มบั๊บเป้ จะกลายเป็นนักเตะที่ไม่มีค่าตัวทันที นับจากนี้เป็นต้นไป เขาสามารถเซ็นสัญญากับทีมใดก็ได้ล่วงหน้า

นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ประธานสโมสรเปแอสเช ในฐานะตัวแทนของกลุ่มทุนจากกาตาร์ ก็พยายามทุกวิถีทางในการรั้งเขาไว้ให้จงได้ แต่สุดท้าย “ใจ” ไม่อยู่แล้วก็ยากเหลือเกินจะรั้งไว้ นักเตะมองหาความสำเร็จ และความต้องการของตัวเอง มากกว่าเรื่องของเงินทองที่ตอนนี้ก็มีจนไม่รู้จะใช้อย่างไรให้หมดเร็ว ๆ

ด้วยวัย 25 ปี กับดีกรีแชมป์โลก 1 สมัย + นักเตะที่ยิงแฮตทริคได้ในเกมรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นคนแรกนับจากปี 1966 ตามด้วยผลงานอีกเพียบ เปแอสเช และ ลีก เอิง เล็กเกินไปแล้วสำหรับเอ็มบั๊บเป้ บ้านเกิดของเขาหมดแรงจูงใจไปนานแล้ว สิ่งเดียวที่อาจจะพูดว่าเป็นแรงจูงใจคือเรื่องของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เขายังไม่เคยครอบครองมาก่อน แน่นอนมันคงยอดเยี่ยมถ้าทำได้กับสโมสรบ้านเกิด กับ เปแอสเช ซึ่งก็จะกลายเป็นทีมแรกต่อจาก โอลิมปิก มาร์กเซย์ เคยได้แชมป์รายการนี้ในปี 1993 และถึงตรงนี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับเขาในการทำฝันนี้ให้เป็นจริง

FBL-FRA-PSG
FBL-FRA-PSG / FRANCK FIFE/GettyImages

เอ็มบั๊บเป้ จะไปไหนต่อ

แน่นอน เรอัล มาดริด คือเต็งหนึ่งเสมอมาสำหรับ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรเรอัล มาดริดในการสร้างทีมใหม่ นับตั้งแต่การปล่อยตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในปี 2018 เขาเลือกเด็กคนนี้มาเป็นตัวแทนไว้แล้ว แต่ เรอัล มาดริดในเวลานั้นเลือกเซ็นสัญญากับ เอแดน อาซาร์ เข้ามา หลังจากนักเตะเลือกย้ายไปเล่นกับ เปแอสเช ก่อนที่อีก 4 ปีต่อมา พวกเขาก็ออกล่าตัว เอ็มบั๊บเป้ อย่างจริงจังเพียงแต่เกิดการผิดแผนจากการเปลี่ยนใจในการเซ็นสัญญาใหม่กับเปแอสเช ทั้งที่มีการพูดคุยกับเรอัล มาดริด ไปมากพอสมควรแล้ว

ผ่านไปสองปี โอกาสนั้นกลับมาอีกครั้งในสถานะที่ต่างไปจากเดิม เขาอายุมากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น ผลงานก็ยังคงไต่กราฟสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ เรอัล มาดริด เองก็ยังคงรอคอยการหาหน้าเป้าตัวหลักมาตลอด มาเล่นร่วมกับ โรดริโก้ และ วินิซิอุส (ไม่รวมถึงการเซ็นสัญญาล่วงหน้า เอนดริค Wonder Kid คนใหม่ของวงการฟุตบอลบราซิลอีก 60 ล้านยูโร) ถ้าได้ เอ็มบั๊บเป้ ลงไปอีกคนก็เรียกว่าแนวรุกทั้งหนุ่ม ทั้งดุดัน และจัดว่าเป็นที่สุดได้เลยในยุคอีก 5-10 ปีนับจากนี้ โดยความสัมพันธ์ระหว่างนักเตะกับ เปเรซ ก็ถูกสื่อชี้นำว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดีถึงดีมาก ดังนั้น เรอัล มาดริด จึงเป็นเต็งหนึ่ง ปัญหาใหญ่คือเรื่องของค่าเหนื่อย

ข้อมูลเรื่องนี้ซับซ้อนพอสมควรตัวเลขไม่แน่ชัดเท่าไร แต่ขออ้างอิงจากตัวเลขที่ผู้เขียนมองว่ามีความเป็นไปได้ นั่นคือ 72 ล้านยูโรต่อปี (ประมาณ 61 ล้านปอนด์) ต่อเดือนก็ประมาณ 5 ล้านปอนด์ ต่อสัปดาห์ก็ประมาณ 1.2 ล้านปอนด์  (นับเฉพาะค่าเหนื่อย ไม่รวมค่าลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ ฯลฯ) ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดแล้วสำหรับนักเตะที่เล่นในยุโรป

เรอัล มาดริด ไม่ต้องการจ่ายตัวเลขมากกว่านี้ หรือต้องการให้น้อยกว่านี้ลงไปอีก การเจรจาก็ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องพูดคุยกันต่อไป ว่ากันตามข้อมูลข่าว ตัวเลขนี้คือตัวเลข “ซื้อใจ” ที่เปแอสเช ทำทุกอย่างเพื่อรั้งเขาไว้ในช่วงปี 2022 ตัวเลขจึงออกมาสูงถึงขนาดนี้ รวมถึงสิทธิ์อีกหลาย ๆ อย่างที่ได้รับ จนมีการแซวว่าเขาคือ “ประธานเป้” นั่นเอง

ดังนั้นสำหรับทุกทีมที่อยากได้ตัวเขาไปร่วมงานด้วยก็ต้องสู้กับ เรอัล มาดริด ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก


อาร์เซนอล ไปเกี่ยวอะไรกับเขา อยู่ ๆ ก็มีข่าว

ด้วยความเคารพในทีมที่ตัวเองเชียร์ อาร์เซนอล ไม่ได้อยู่ในสถานะของการลุ้นดีลของ คิลิยัน เอ็มบั๊บเป้ เลยในเวลานี้ ทีมของ มิเคล อาร์เตต้า อยู่ในสถานะของทีมมองหาความสำเร็จ และรักษามาตรฐานการเล่นให้อยู่ในระดับสูงสุดให้ได้ต่อเนื่อง หลังการกลับสู่แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ สิ่งที่ทีมต้องทำคือสองเรื่องข้างต้น และเรื่องที่เหลือจะตามมาเอง ผู้เขียนย้ำเสมอว่า อาร์เซนอล ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย ถ้าไม่นับ เอฟเอ คัพ 2020 และการกลับไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก หากมองเป็นความสำเร็จก็พอได้จากการไม่ได้เข้าร่วมมานาน แต่มองว่าไม่ใช่ความสำเร็จก็พูดได้เหมือนกัน เพราะทุกทีมที่ประสบความสำเร็จการเข้าร่วมเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก คือสิ่งที่ต้องได้ทุกปีอยู่แล้ว

เอ็มบั๊บเป้ อยู่ในสถานะของ “ผู้เลือก” ไม่ใช่ “ผู้ถูกเลือก” ถ้าเขาจะเลือกสักสโมสร ถ้าไม่ชอบเป็นการส่วนตัว ก็ต้องมีความสำเร็จที่พร้อมจะให้เขาพุ่งชน ความท้าทายที่น่าตื่นเต้นและมาตรฐานของทีมที่พร้อมจะลุ้นความสำเร็จ ซึ่งก็มีเพียงไม่กี่ทีมในโลกที่เขาจะย้ายไปแล้วได้แบบนั้น อาร์เซนอล กำลังจะพยายามไปให้ถึงตรงจุดนั้น และพวกเขาอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องเสียด้วย แต่กับ เอ็มบั๊บเป้ เวลาระหว่างทั้งสองทีมมันไม่ตรงกัน อาร์เซนอล ต้องพิสูจน์ตัวเองให้มากกว่านี้ว่านี่คือทีมที่ประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่ “มีโอกาส” ประสบความสำเร็จ ขณะที่นักเตะไม่มีอะไรต้องพิสูจน์แล้ว นอกจากการออกจากบ้านเกิดเป็นครั้งแรกในการเล่นฟุตบอลลีกระดับสโมสร ผลงานในบ้านเกิด และกับทีมชาติ ภาพลักษณ์ ศักยภาพ ทุกคนเห็นตรงกันหมด ว่าเขาคือของจริงของวงการ

ไม่รวมถึงเรื่องค่าเหนื่อยที่อาร์เซนอลต้องพร้อมทำลายเพดานค่าเหนื่อยที่ตอนนี้สูงสุดรับกันไม่ถึง 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์อีกต่างหาก ถ้าต้องจ่ายให้นักเตะระดับ 1 ล้านปอนด์ต่อสัปดาห์หรือมากกว่าขึ้นมาหนึ่งคน แม้จะได้มาฟรี คุ้มหรือไม่ มันอาจจะคุ้ม แต่เพดานค่าเหนื่อยที่ปรับโครงสร้างกันมานาน 3 ปี จะพังทันที นักเตะในทีมจะตั้งคำถามกับเรื่องสัญญาใหม่ฉบับต่อไป

ส่วนเหตุผลที่ว่าเพราะพ่อของวิลเลี่ยม ซาลิบา เป็นโค้ชคนแรกของนักเตะ มันดูเบาบางเหลือเกินในการเลือกย้ายมาร่วมลอนดอนเหนือ และหากมองกลับกันถ้าคิดในตรรกะนี้ ถ้านักเตะไป เรอัล มาดริด จริง เอ็มบั๊บเป้ อาจพูดชวน ซาลิบา ไปสวมชุดขาวด้วยกันที่สเปนก็ได้เช่นกัน เพราะเราสองคนมีโค้ชคนแรกคนเดียวกันนะเพื่อน!

Lionel Messi, Neymar Jr, Kylian Mbappe
Paris Saint-Germain v Lille OSC - Ligue 1 Uber Eats / Xavier Laine/GettyImages

ต่อจากนี้ของ...เปแอสเช

แน่นอนเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้น เอ็มบั๊บเป้ และ เปแอสเช ก็จะมีช่วง 2-3 เดือนต่อจากนี้ที่จะลุยกันให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะในแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่หวังจะไปให้ถึงแชมป์ให้ได้ ปีนี้ทีมของหลุยส์ เอนริเก้ ถือว่าทำได้ดี ผลงานในประเทศทุกรายการอยู่ในเส้นทาง ลีก เอิง ก็ทิ้งห่างอันดับ 2 ถึง 11 คะแนน เรียกว่าถ้าไม่เหวอจนฟอร์มหลุดก็รับแชมป์อีกสมัย ส่วนในแชมเปี้ยนส์ ลีก ดับ เรอัล โซเซียดาด ไปแล้วหนึ่งเลกด้วยสกอร์ 2-0 โอกาสเข้ารอบ 8 ทีมก็มีมากขึ้นทันที

การเซ็นสัญญาของ  เปแอสเช ในฤดูกาลนี้ มีการปรับแนวคิดมากพอสมควร หลังจากบ้าคลั่งกับสถิติโลกเซ็นสัญญา เนย์มาร์ จูเนียร์ และทุ่มเงินค่าเหนื่อยมหาศาลในการดึง ลิโอเนล เมสซี่ มาเล่นที่ปารีสด้วยกัน สุดท้ายพวกเขาปล่อยทั้งสองคนออกจากทีมในปีเดียวกัน และเซ็นสัญญานักเตะเข้ามาภายใต้แนวคิด นักเตะอายุน้อย เหมาะกับระบบทีม และใช้งานได้ระยะยาว วอร์เรน ซาอีร์-อเมรี่ เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ได้รับโอกาสและได้รับความสนใจถึงผลงานที่ดีของเขาในปีนี้ เช่นเดียว ลี คังอิน ที่ได้รับเสียงชื่นชมในความขยัน และผลงานในปีแรกของเขา รวมถึงการเซ็นสัญญานักเตะหลาย ๆ คน ที่บ่งชี้แนวทางได้ว่า พวกเขาไม่ได้คิดถึง “ชื่อเสียง” ของผู้เล่นนำหน้า “การสร้างทีม” อีกต่อไป ผลลัพธ์ในฤดูกาลบ่งชี้ชัด พวกเขาสม่ำเสมออย่างยิ่ง และถูกสนใจน้อยลงกว่าเดิม เมื่อสตาร์ดังเริ่มหายไป ความสมดุลในทีมเริ่มกลับมา

การเสีย เอ็มบั๊บเป้ ไปแน่นอนจะเป็นการเสียสตาร์เบอร์หนึ่งของสโมสรและประเทศฝรั่งเศสครั้งใหญ่ ที่พวกเขาต้องหาคนมาทดแทน แต่ในทางกลับกัน พวกเขาก็จะโล่งใจด้วยเมื่อค่าเหนื่อยมหาศาลที่แบกรับก็จะหายไปด้วยเช่นกัน

และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เอ๊มบั๊บเป้ ก็ต้องออกจากทีม แค่เมื่อมันถึงวันที่ต้องแยกย้าย เปแอสเช เตรียมพร้อมรับเรื่องเหล่านี้ได้ดีแค่ไหน ตรงนี้น่าสนใจว่า เอ็มบั๊บเป้ จะย้ายไปที่ไหน ในมุมมองของเปแอสเช พวกเขาทำดีที่สุดแล้วในการรั้งตัวนักเตะคนนี้ และถ้ามากไปกว่านี้ พวกเขาอาจต้องเสียอะไรมากกว่าได้ก็เป็นไปได้เช่นกัน

อีก 3 เดือนเราจะได้รู้กันสักทีว่าการออกนอกบ้านครั้งแรกของ คิลิยัน เอ็มบั๊บเป้ จะจบลงที่ตรงไหน!