3 นัดฟัดชัยชนะรวด : ได้เวลาเฉิดฉายของคู่หูแนวรับ แมนยู แฮร์รี่ แม็กไกวร์ & อองเดร โอนาน่า...? - OPINION
• อองเดร โอนาน่า เซฟรวม 11 ครั้ง และมีครั้งสำคัญสุดในเกมกับ โคเปนเฮเก้น
• หรือนี่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ตามหา...ได้เวลาเฉิดฉายของคู่หู แม็กไกวร์ & โอนาน่า เสียทีแล้ว!?!
โทรฟงโทรฟี่ยังไม่ต้องพูดถึง สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นาทีนี้ เอาไปก่อนเลยสำหรับแชมป์ "ทีมเอนเตอร์เทน" ดูสนุกเร้าใจ ลุ้นระทึกแทบไม่เว้นแต่ละเกม และภายใต้การชนะมา 3 นัดซ้อนนั้น มีฟอร์มดีๆ จับต้องได้ของคู่หูคู่ฮาในแนวรับ อย่าง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ & อองเดร โอนาน่า แทรกอยู่อย่างเด่นชัด จนเป็นคำถามสำคัญว่า หรือจะถึงเวลาแล้วที่แฟนๆ ปีศาจแดงจะได้ปลาบปลื้มและภาคภูมิกับการมีอยู่ของเขาและเขาภายในทีม...
เห็นเงียบๆ...ชนะเรียบ 3 เกมซ้อน
ภายใต้ความกระเสาะกระแสะและทรงบอลที่ยังคงไม่น่าประทับใจอะไร ทำไปทำมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เดินหน้าชนะมาแล้ว 3 เกมรวดในทุกรายการ ถัดจากความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายต่อ กาลาตาซาราย ต้นเดือนที่ผ่านมา ที่ในเกมนั้น ทุกคนต่างลงความเห็นว่า "แง่ดี" เพียงอย่างเดียวของปีศาจแดง คือฟอร์มของ ราสมุส ฮอยลุนด์ หอกเด็กเดนส์วัย 20
• 7 ต.ค. ชนะ เบรนท์ฟอร์ด 2-1
เครดิตเป็นของ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ไปเต็มๆ ที่ช่วยพลิกกระดานจากการที่กำลังจะแพ้ 3 นัดติดในทุกรายการ กลับมากำชัยได้แบบที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักกับทีมยุค เอริค เทน ฮาก
แมนฯ ยูไนเต็ด ตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อนตามเคย จากการยิงของ มาธีอัส เยนเซ่น ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ได้รุนแรงหรือมุมดิกอะไร แต่ อองเดร โอนาน่า กลับล้มตัวรับไว้ไม่ทัน ปลิ้นแขนเข้าประตูไปในนาที 26
อย่างที่ว่า แม็คโทมิเนย์ กลายเป็นฮีโร่ เมื่อลงสำรองไปในนาที 87 แล้วลั่นไกตีเสมอ 1-1 ทดเจ็บนาทีที่ 3 (กองหลังสกัดมาเข้าทางให้ยิงสวน) ก่อนจะโหม่งประตูชัยตอนทดเจ็บ 90+7 จังหวะ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ โขกฟรีคิกชงขึ้นหน้ามาให้
• 21 ต.ค. ชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-1
เว้นวรรคพักหายใจหายคอไป 2 สัปดาห์ แมนฯ ยูไนเต็ด ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก อีกครั้งพบกับทีมบ๊วย เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ซีซั่นนี้แพ้ 7 จาก 8 เกมแรก (มีโดน นิวคาสเซิ่ล ยิง 8-0 ด้วย)
แต่ก็หวิดจะเกิดเรื่อง "บ๊วยติดคอ" อยู่เหมือนกัน เมื่อภายหลัง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ฮาล์ฟวอลเลย์เปิดสกอร์ 1-0 แล้ว เชฟยู ก็ตามตีเสมอได้จากจุดโทษแฮนด์บอลของ แม็คโทมิเนย์ นั่นเอง (โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่ กดจุดโทษเข้าไป)
โชคดวงดูยังเข้าข้าง แมนยู อยู่บ้าง ที่หลังจาก บรูโน่ แฟร์นันเดส กับ โซฟียาน อัมราบัต ผลัดกันกดไปชนคาน ก็เป็น ดีโอโก้ ดาโล่ต์ ส่องไกลโครมเดียวเสียบเสาเข้าไปอย่างยอดเยี่ยม เป็นประตูชัยในนาที 77
• 24 ต.ค. ชนะ โคเปนเฮเก้น 1-0
ไม่แน่ใจว่าระหว่าง โคเปนเฮเก้น ดีเกินคาด หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด อ่อนเกินไป แบบไหนมีน้ำหนักกว่ากัน แต่ภาพที่เกิดขึ้นคือ ทีมแชมป์ลีกเดนมาร์ก เล่นงานทีมดังของอังกฤษแบบโงนไปเงนมา ไม่ได้กริ่งเกรงศักดิ์ศรีเจ้าถิ่นแม้แต่น้อย
โคเปนเฮเก้น รุกไล่จนเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาจะได้ประตูอยู่หลายหน แต่ครั้นเมื่อทำไม่ได้ก็โดนลงโทษ คริสเตียน เอริคเซ่น เปิดแม่นๆ ให้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ทิ่มขวิด 6 หลาตุงตาข่าย
และแน่นอน ชัยชนะคงเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มี "ช็อตปาฏิหาริย์" การเซฟจุดโทษ 90+7 ของ โอนาน่า
แม้จะกระท่อนกระแท่นอยู่ (ไม่) หน่อย แต่ก็คือการชนะ 3 เกมซ้อน เป็นครั้งแรกสุดเลยของซีซั่นนี้
แม็กไกวร์ มาครับ
แรกสุดคงต้องถือเป็นโชคส่วนตัวของเขา ที่บรรดาเซนเตอร์แบ็กตัวเลือกแรกๆ ต่างก็ล้มเจ็บกันไปทีละรายสองราย ลิซานโดร มาร์ติเนซ บ้าง, ราฟาแอล วาราน บ้าง หรือ วิกเตอร์ ลินเดลอฟ ก็มีที่ต้องถ่างออกไปยืนแบ็กซ้ายจำเป็น เพื่อแก้ปัญหาตัวขาดแคลน
นั่นทำให้ แม็กไกวร์, ที่ช่วง 2 เดือนแรกของซีซั่น ลงตัวจริง 1 นัด สำรอง 2 เกม, ได้กลับเข้าสู่ทีมตัวจริงของ เอริค เทน ฮาก มา 3 นัดซ้อน และที่สำคัญคือ ก็ล้วนแต่เป็น "คีย์แมน" ของชัยชนะในทั้ง 3 เกมเสียด้วย
เกมกับ เบรนท์ฟอร์ด (2-1) แม็กไกวร์ ทำผลงานส่วนตัวได้ดี ไม่มีข้อผิดพลาดร้ายแรงให้เห็น แถมเป็นคนทำแอสซิสต์ให้ แม็คโทมิเนย์ สอยประตูชัย
เกมกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (2-1) ถูกยกจากหลายสำนักให้เป็น "แมนออฟเดอะแมตช์" ภายใต้คำอธิบายฟอร์มการเล่นที่หลายที่ใช้ตรงกันว่า "solid defensive performance" และเรตคะแนนส่วนใหญ่อยู่ที่ 8/10
เกมกับ โคเปนเฮเก้น (1-0) อาจไม่ได้โดดเด่นหรือคุมเกมรับเหนียวแน่นมากมาย แต่ก็ดอดขึ้นไปโขกประตูตัดสินเกม ในวันที่บรรดาแนวรุกต่างก็คลำเป้าไม่เจอ
ชัดเจนว่า 3 เกมหลังสุด หรือไม่กี่สิบวันมานี้ คือ "ขาขึ้น" ของ แม็กไกวร์ ให้หลังจากการตกอยู่ภายใต้เมฆครึ้มทะมึนทึมมานานเป็นปีๆ
ฟอร์มที่ดีและมีผลงานจับต้องได้ลักษณะนี้ เป็นสัญญาณที่ดีว่า แม็กไกวร์ คนเดิมที่สั่นไหว ไม่มั่นใจ ทำอะไรก็ผิดพลาดไปหมด คนนั้นเริ่มจะหายๆ ไป กลายเป็น แม็กไกวร์ คนใหม่...ที่พอจะคุ้มค่าตัว 80 ล้านปอนด์ขึ้นมาบ้างแล้ว
โอนาน่า มาค่ะ
ก็เพิ่งในเกมกับ กาลาตาซาราย (2-3) นั่นเองที่โลกโซเชียลต่างก็แซว โอนาน่า เจ้าของค่าตัว 44+3 ล้านปอนด์อย่างขำขัน ในฐานะนายทวารระดับ "ครบเครื่อง"
ครบๆ เลยแบบ... ตรงเป็นตุง มือไม่เอา เท้าไม่ไหว ตรงตัวรับกระฉอก ยิงออกปัดเข้า ลูกออกทำพุ่ง ลูกตุงยืนมอง
เสียงของแฟนบอลมีทั้งเรียกหา ดาบิด เด เคอา และกระทั่งหวังให้ เทน ฮาก เปลี่ยนไปลองใช้งานมือสองของใหม่ อัลตาย บายินดีร์ ตัวทีมชาติตุรกี (แต่ก็มือสอง) ที่คว้ามาจาก เฟเนร์บาห์เช่ ดูบ้างก็น่าจะดี
แต่ว่า 3 เกมถัดมา--สามนัดหลังสุดที่เข้าวินมารวดๆ แม้จะมีคลีนชีตแค่เกมเดียว แต่ก็คงพอพูดได้ว่า ถ้าไม่มี โอนาน่า เห็นทีว่า แมนยู จะเละเทะกว่านี้มากทีเดียว
เกมกับ เบรนท์ฟอร์ด ตอนที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังอยู่ และยังไม่มีช็อตฮีโร่ของ แม็คโทมิเนย์ นั้น นาที 83 นีล โมปาย สบโอกาสกระหน่ำเข้าข้อจากนอกเขตโทษ บอลพุ่งวาบกำลังจะเข้าเสียบใต้คาน ใครเห็นก็ว่าเป็นประตู แต่ โอนาน่า ยืดมือปัดทิ้งไปได้ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย
ต่อเนื่องด้วยจังหวะเตะมุมนาทีเดียวกันนั้นเอง บอลเข้าหัว คริสเตียน นอร์การ์ด ขวิดเต็มๆ จะเสยคาน ก็ยังเป็น โอนาน่า ที่สปริงตัวปัดทิ้งได้อย่างใจหาย
ต่อมาหลังจากพักเบรค แมนยู อาจเสียประตูให้ทีมบ๊วย เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ก็จริง แต่นั่นมาจากจุดโทษ ส่วนถ้าเป็นโอเพ่นเพลย์แล้ว ปรากฏว่าเจ้าถิ่นกิน โอนาน่า ไม่ลงเลย ทั้งจากจังหวะเก็บตกซัดใกล้ๆ จุดโทษของ โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่ ที่ โอนาน่า ล้มรับติดมือ หรือลูกส่องไกลของ คาเมร่อน อาร์เชอร์ ที่ลอดขา แม็กไกวร์ มาแล้วแต่ไม่ผ่านมือนายด่านแคเมอรูนที่โคนเสา เช่นเดียวกับของ ไรแอน บริวสเตอร์ ที่ โอนาน่า ทุบทิ้งออกมาได้หมดจด
กับเกมล่าสุดเมื่อคืนอังคาร นอกจากจังหวะโชคช่วยที่ลูกชาร์จต้นเกมของ โคเปนเฮเก้น เด้งชนเสาแล้ว ก็เป็นเครดิตของ โอนาน่า เต็มๆ เริ่มจากนาที 50 ที่ซูเปอร์เซฟลูกตวัดยิงของ ลูคัส เลราเกอร์ ไว้ได้
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชัยชนะนัดแรกใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีนี้ จะไม่มีทางตกมาถึงมือ แมนยู เป็นอันขาด ถ้า โอนาน่า ไม่อาจดักทางจุดโทษของ จอร์แดน ลาร์สสัน ได้ถูกต้องตรงเผง
พบว่า 3 เกมหลังที่ว่านี้ โอนาน่า เซฟไปทั้งสิ้น 11 ครั้ง
เป็นคนละคนกับ "ประตูน้ำ" ในช่วงแรกเริ่มชีวิตกับ แมนยู อย่างสิ้นเชิง
ถึงเวลาเฉิดฉาย...?
ชัดเจนว่าทั้ง แม็กไกวร์ และ โอนาน่า ต่างก็กำลังมี "โมเมนตั้ม" ที่ดี
ทั้งคู่ยกระดับตัวเองจากการเป็นตัวตลกมาเป็นฮีโร่ของทีม ควานหาฟอร์มการเล่นที่ดีเจอแล้ว และสามารถสร้างผลการแข่งขันให้กับทีมได้
นั่นจึงเป็นคำถามที่ตามมาว่า มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่ แม็กไกวร์ & โอนาน่า จะ "ติดเครื่อง" ยืนระยะสร้างผลงานเป็นตัวความหวัง และทำผลงานได้คุ้มราคาค่าตัวที่สโมสรลงทุนไป
ตลกร้าย...ตลกร้ายชัดๆ
เพราะไม่ต้องมองไกลหรือกางโปรแกรมสี่ซ้าห้านัดถัดไปให้เห็นกันแต่อย่างใด
อาทิตย์นี้ 29 ต.ค. คิวที่ "หนักที่สุด" อย่างการเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังคอยท่าอยู่ข้างหน้านี่เอง
สองซีซั่นก่อน : แมนฯ ซิตี้ บุกชนะ 2-0 แล้วกลับไปเปิดบ้านต้อน 4-1
ซีซั่นที่แล้ว : แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านขยี้ 6-3 เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ กับ ฟิล โฟเด้น จับมือกันทำแฮตทริกคู่ แล้วเมื่อกลับมาเล่นใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็เป็น แจ๊ค กรีลิช ยิงนำก่อน แมนยู (ที่ตอนนั้นยังมีคุณสมบัติ "แข็งในบ้าน") ฮึดขึ้น แซงชนะช่วงท้าย 2-1 จาก บรูโน่ แฟร์นันเดส และ มาร์คัส แรชฟอร์ด
นอกนั้นยังมีนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่ อิลคาย กุนโดกัน เหมาสองกำชัย 2-1 คว้าแชมป์ที่ 2 จาก 3 รายการที่ทำสำเร็จ
บททดสอบหนักอึ้งน่าหวาดเสียวจาก เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ และชาวคณะเรือใบ กำลังรอ แม็กไกวร์ & โอนาน่า อยู่
ถ้าผ่านไปได้แบบคลีนชีต หรือเสียน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ค่อยมายอมรับกันอีกว่า แม็กไกวร์ & โอนาน่า ขาขึ้นของจริง