เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กุญแจสำคัญที่อาจช่วยให้ ลิเวอร์พูล มีแต้มกับ แมนซิตี้ - OPINION

  • เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กลับมาทำผลงานได้ดีในฤดูกาลนี้
  • เจ้าตัวเคยได้รับบาดเจ็บหนัก
  • บททดสอบสำคัญคือ เกมไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้
Liverpool FC v Brentford FC - Premier League
Liverpool FC v Brentford FC - Premier League / MB Media/GettyImages
facebooktwitterreddit

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เซ็นเตอร์แบ็คกัปตันทีมชาติฮอลแลนด์ ทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งให้กับ ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนี้ โดยย้อนกลับไปห้วงเวลาเดียวกันเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เจ้าตัวออกสตาร์ท 21 เกมจาก 22 เกมให้กับ “หงส์แดง” ก่อนเดินทางไปลุย ฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ และลงเล่นทุกนาทีจนถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และพ่ายการดวลจุดโทษให้กับ อาร์เจนตินา

ฟาน ไดจ์ค เคยได้รับบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้ารุนแรงจากการปะทะกับ จอร์แดน พิคฟอร์ด โกล์ เอฟเวอร์ตัน เมื่อปี 2020 และต้องพักยาวร่วมปี แต่หลังจากกลับมาลงสนามได้ กองหลังชาวดัตช์ ก็ยืนระยะลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล รวมทั้งฮอลแลนด์ มาอย่างต่อเนื่อง และคืนฟอร์มอันยอดเยี่ยมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

FBL-EUR-C1-LIVERPOOL-REAL MADRID
FBL-EUR-C1-LIVERPOOL-REAL MADRID / GENYA SAVILOV/GettyImages

กัปตันทีมคนใหม่ ลิเวอร์พูล เริ่มกล่าวว่า “อาการบาดเจ็บของผมสาหัสมาก มันไม่น่าแปลกใจที่ต้องมาดูแลหัวเข่าของตัวเองอีกครั้ง แต่ตอนนี้ ผมไม่กังวลกับมันแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นมากนัก ผมรู้สึกว่าตัวเองทำทุกอย่างได้เหมือนเดิมอีกครั้ง”

ในช่วงออกสตาร์ท 11 เกมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูล หล่นมารั้งอันดับ 9 ของตารางคะแนน โดยมีแต้มห่างจากจ่าฝูงมากถึง 15 แต้ม ตอนนี้พวกเขาอยู่อันดับ 2 ตามหลังจ่าฝูง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เพียงแต้มเดียว เท่านั้น และมีคิวจะยกพลไปเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม ในวันเสาร์นี้ 

ผลงานช่วงต้นซีซันที่ดีของ ลิเวอร์พูล ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ฟอร์มของ ฟาน ไดจ์ค ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง โดยปราการหลังวัย 32 ปี ที่ทำผลงานต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อปีที่แล้ว กลับมาบัญชาการเกมรับให้ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง

ในซีซันนี้ ลิเวอร์พูล เพิ่งเสียไปเพียง 10 ประตู ซึ่งน้อยสุดในลีกเท่ากับ อาร์เซนอล และเกมล่าสุดที่เปิดรัง แอนฟิลด์ ไล่อัด เบรนท์ฟอร์ด 3-0 ก่อนพักเบรกทีมชาติ ก็ทำให้พวกเขาเก็บคลีนชีตในลีกได้ถึง 3 จาก 4 เกมล่าสุด

ปัจจุบัน ฟาน ไดจ์ค อาจไม่ใช่กองหลังที่รวดเร็วเหมือนกับช่วงที่ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน มาเล่นกับ ลิเวอร์พูล เมื่อ 7 ปีที่แล้ว แต่เจ้าตัวยังมีการอ่านเกมที่เด็ดขาด และในฤดูกาลนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถเลี้ยงบอลผ่านเขาไปได้เลย

Virgil van Dijk
Liverpool FC v Brentford FC - Premier League / Alex Livesey/GettyImages

แน่นอนว่า ฟาน ไดจ์ค ยังมีข้อพลาดบ้างเป็นครั้งคราว อาทิ การเป็นตัวสุดท้ายที่ตัดฟาวล์ อเล็กซานดาร์ อิซัค หัวหอก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งทำให้เขาถูกไล่ออกในเกมเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และจ่ายบอลพลาดในเกมที่บุกไปเสมอ ไบรท์ตัน 2-2  ที่ เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในภาพรวม ฟาน ไดจ์ค เป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้กลับมาเฉียบคมอีกครั้งทั้งในเรื่องการผ่านบอล การอ่านเกม เล่นลูกกลางอากาศ และเข้าสกัดในจังหวะชี้เป็นชี้ตายช่วยให้ ลิเวอร์พูล รอดพ้นจากการเสียประตูอยู่หลายครั้ง

ขณะเดียวกัน นอกจากต้องบัญชาการเกมรับแล้ว ฟาน ไดจ์ค ยังมีหน้าที่เพิ่มเติมอีกหนึ่งอย่างคือ รับบทกัปตันทีม ลิเวอร์พูล ต่อจาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ อดีตกองหลัง เซาธ์แฮมป์ตัน ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

“มีหลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกันในฐานะกัปตันทีม ซึ่งบางทีงานของผมในสโมสรอาจจะมากกว่าที่ทีมชาติ” แต่มันไม่ได้ส่งผลเสียต่อการเล่นฟุตบอลของผมเลย และผมคิดว่า มันเป็นแรงจูงใจมากกว่า” ฟาน ไดจ์ค อธิบาย

ฟาน ไดจ์ค ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างมากมายหลังจากบาดเจ็บที่บริเวณเอ็นไขว้หน้า แต่มันกลายเป็นบทเรียนที่ทำให้เจ้าตัวมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งมากขึ้น รวมถึงพยายามผลักดันตัวเองให้กลับไปโชว์ฟอร์มในสนามให้ดีเหมือนเดิม และเกมในวันเสาร์นี้กับ แมนฯซิตี้ ก็จะเป็นบททดสอบครั้งสำคัญ