ลิเวอร์พูล กับสัญญาณเตือนจากการคัมแบ็คเก็บ 3 แต้มสุดสัปดาห์ก่อน - OPINION
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
การพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน ได้ 3-1 ของ ลิเวอร์พูล ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดล่าสุดถือเป็นการ “คัมแบ็ค” กลับมาเก็บ 3 คะแนนได้เป็นนัดที่ 3 จาก 5 เกมแรกในฤดูกาลนี้ ซึ่งถ้ามองในแง่ดีนี่คือทีมที่มีการแก้เกมที่ยอดเยี่ยม ขุมกำลังที่พร้อมเป็นตัวเปลี่ยนเกม และหัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
หากแต่ในอีกด้านหนึ่งมันหมายถึงสัญญาณอันตรายที่ทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องระวังและหันกลับมาแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยด่วน
ข้อผิดพลาดที่ว่านี้คือ การปล่อยให้คู่ต่อสู้ยิงประตูขึ้นนำอยู่เสมอ ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับการที่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและต้องเค้นพลังในการไล่ตามตีเสมอและเอาชนะ
หงส์แดง พลาดท่าโดนคู่ต่อสู้ยิงประตูขึ้นนำในเกมกับ บอร์นมัธ (นาทีที่ 4), นิวคาสเซิล (นาทีที่ 25) และล่าสุดเกมกับ วูล์ฟ (นาทีที่ 7) ซึ่งสิ่งนี้กำลังบอกเราว่าเกมการเล่นของพวกเขามีปัญหา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 45 นาทีแรก
3 เกมที่กล่าวไปนั้นจึงใม่ใช่แค่การเสียประตูก่อนเท่านั้น แต่รูปเกมของพวกเขาในครึ่งแรกยังทำได้ไม่ดี จังหวะขาด ๆ เกิน ๆ เสียสมาธิง่าย และพร้อมเสียประตูตลอดเวลา ดีที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีตัวทีเด็ดอยู่ข้างสนามเสมอ นี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวที่สาวก หงส์แดง รู้สึกสบายใจได้
มองในแง่ดีการคัมแบ็คแบบนี้แสดงว่าทีมมีความพร้อมที่จะเอาชนะคู่แข่งได้ตลอดเวลา แต่ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล เจอกับทีมในระดับเดียวกันเพียงแค่ นิวคาสเซิล เท่านั้น ส่วน บอร์นมัธ และ วูล์ฟ ยังไม่สามารถเทียบอะไรได้
แต่ทีมเหล่านี้กลับทำให้ลูกทีมของ คล็อปป์ ประสบปัญหา น่าคิดเหมือนกันว่าถ้าไปเจอกับพวกเขี้ยวลากดินอย่าง อาร์เซนอล หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาจะคัมแบ็คได้แบบนี้หรือไม่
พอล เมอร์สัน ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้หลังได้ชมเกมที่ โมลินิวซ์ และเขาเชื่อว่า ลิเวอร์พูล ไม่อาจทำแบบนี้ได้ไปตลอด โดยเฉพาะเมื่อเจอกับทีมใหญ่ด้วยกัน
“ลิเวอร์พูล เล่นไม่ดีในครึ่งแรกกับเกมเจอ วูล์ฟ พวกเขาแย่จริง ๆ แต่พวกเขาก็ลงมาเล่นในครึ่งหลังและจัดการเจ้าบ้านได้สำเร็จ”
“ปัญหาคือคุณจะไม่สามารถไปทำแบบนี้ได้กับทีมที่ดีกว่า”
“คุณไม่อยากจะไปเล่นที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม หรือ เอติฮัด เพื่อที่จะทำแบบนี้หรอก ถ้าเป็นเช่นนั้นเกมมันจะจบตั้งแต่ครึ่งแรกไปแล้ว” อดีตหัวหอกทีมชาติอังกฤษกล่าว
เกมกับ วูล์ฟ ในครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ห่วยจริง ๆ ตามที่ เมอร์สัน บอก จนกระทั่ง คล็อปป์ ปรับแผนในช่วงพักครึ่งด้วยการส่ง หลุยส์ ดิอาซ ลงมาแทน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ พร้อมกับหันมาเล่นในระบบ 4-4-2 นั่นจึงทำให้เกมของพวกเขาดีขึ้นผิดหูผิดตา
45 นาทีแรกของทีม หมาป่าลอนดอน นั้นก็ดีกว่าจริง ๆ แค่ลูกทีมของ แกรี โอนีลล์ ไม่สามารถจะเพิ่มสกอร์เป็น 2-3 ลูกได้ ซึ่งนี่คือความแตกต่างกับบรรดาทีมยักษ์ใหญ่หัวแถว นั่นจึงทำให้โอกาสของ ลิเวอร์พูล ยังเปิดกว้าง และพวกเขาก็คัมแบ็คได้สำเร็จในครึ่งหลัง
ลองนึกภาพว่า หงส์แดง ไปโดน แมนฯ ซิตี้ ออกนำ 1-0 ในครึ่งแรก โอกาสจะคัมแบ็คครึ่งหลังมันจะเหลือซักกี่เปอร์เซ็นต์
มีคนบอกว่าปัญหาคือแนวรับ แต่จริง ๆ แล้วก็ต้องบอกว่ามีปัญหากันทั้งทีม โดยเฉพาะเรื่องสมาธิในช่วงต้นเกม
เยอร์เก้น คล็อปป์ จึงไม่อาจชะล่าใจและเชื่อว่าทีมของเขาจะทำเช่นนี้ได้ทุกนัด เพราะอย่างที่ เมอร์สัน บอกหากคุณไปเจอกับ อาร์เซนอล, ซิตี้ หรือ ไบรท์ตัน มันยากที่จะกลับออกมาแบบมีแต้มได้
ฟอร์มดีก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ยังมีปัญหาก็ต้องรีบแก้ไข การมาไล่ตามแบบนี้ทุกนัดคงไม่ใช่เรื่องดี สู้ครองบอล จบสกอร์ และปิดเกม ถนอมตัวในช่วงท้ายเพื่อลุยในแม็ตช์ต่อไปน่าจะง่ายกว่า