ปารีส แซงต์ แชร์กแมง บนเส้นขนานแห่ง UCL : มีเงินก็ซื้อ 'แชมป์' ไม่ได้! - FEATURE
เพราะในฟุตบอล บางอย่างก็เป็นเรื่องที่เกินจะอธิบายได้ เป็นต้นว่า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งหนึ่งเคยมีทีมอย่าง โอลิมปิก มาร์กเซย หรือ ปอร์โต้ ผงาดบัลลังก์มาแล้ว หรือ เรอัล มาดริด ก็ได้แชมป์มาจนแทบจะเบื่อหน้าไปข้าง จนแฟนบอลเริ่มสับสนแล้วว่าได้มากี่สมัย แต่ปรากฏว่า ทีมเงินถุงเงินถังที่จ่ายแต่ละปีเป็นร้อยๆ ล้านยูโร ต่อเนื่องยาวนานนับสิบปีแล้วอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไม่เคยทำได้สำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ความพ่ายแพ้ต่อ บาเยิร์น มิวนิค ล่าสุดเมื่อคืนพุธ ทำให้ เปแอสเช ถูกเตะตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย อีกครั้งและอีกครั้ง จนเริ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าแชมป์รายการนี้ มีเงินอย่างเดียวก็ซื้อไม่ได้
ลองไปย้อนดูอย่างน้อยสักสี่ซ้าห้าปีไฮไลท์ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับ เปแอสเช บ้าง ถึงได้ทำให้ตู้โทรฟี่ที่อัดแน่นไปด้วยแชมป์ลีกเอิง เกิดฝุ่นเกาะอยู่มุมเดียว ว่าไม่มีโทรฟี่ UCL เข้ามาตั้งโชว์สักที...
ปีต่อปี ปารีส แซงต์-แชร์กแมง กับถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
- 2012/13 รอบ 8 ทีมสุดท้าย : แพ้ บาร์เซโลน่า สกอร์รวม 3-3 (ประตูทีมเยือน)
2013/14 รอบ 8 ทีมสุดท้าย : แพ้ เชลซี สกอร์รวม 3-3 (ประตูทีมเยือน)
2014/15 รอบ 8 ทีมสุดท้าย : แพ้ บาร์เซโลน่า สกอร์รวม 1-5
2015/16 รอบ 8 ทีมสุดท้าย : แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สกอร์รวม 2-3
2016/17 รอบ 16 ทีมสุดท้าย : แพ้ บาร์เซโลน่า สกอร์รวม 5-6
2017/18 รอบ 16 ทีมสุดท้าย : แพ้ เรอัล มาดริด สกอร์รวม 2-5
2018/19 รอบ 16 ทีมสุดท้าย : แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สกอร์รวม 3-3 (ประตูทีมเยือน)
2019/20 รอบชิงชนะเลิศ : แพ้ บาเยิร์น มิวนิค 0-1
2020/21 รอบ 4 ทีมสุดท้าย : แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สกอร์รวม 1-4
2021/22 รอบ 16 ทีมสุดท้าย : แพ้ เรอัล มาดริด สกอร์รวม 2-3
2022/23 รอบ 16 ทีมสุดท้าย : แพ้ บาเยิร์น มิวนิค สกอร์รวม 0-3
5 ปีไฮไลท์ ปารีสฯ กับ UCL : เงินลงทุนและผลลัพธ์ที่ได้
2012/13 ซื้อนักเตะใหม่ 151 ล้านยูโร > ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย UCL
ปีรุ่งขึ้นหลังจากที่กลุ่มทุนกาตาร์ QSI เข้ามาลงทุนเทกโอเวอร์สโมสร เปแอสเช ก็เข้ามาเล่นรายการใหญ่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ทันที เป็นครั้งแรกหลังหายหน้าไปจากถ้วยนี้นาน 7 ปี ภายหลังจบตำแหน่งรองแชมป์ ลีก เอิง 2011/12 (แพ้ มงต์เปลลิเยร์ แค่ 3 แต้ม)
เพื่อต้อนรับการกลับสู่ UCL พวกเขาจึงมีการลงทุนครั้งใหญ่ สิริรวม 151 ล้านยูโร คว้านักเตะอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช & ติอาโก้ ซิลวา (เอซี มิลาน), เอเซเกล ลาเวซซี่ (นาโปลี), มาร์โก แวร์รัตติ (เปสคาร่า), ลูคัส มูร่า (เซา เปาโล) เข้ามาเสริมทัพรับซัมเมอร์ รวมถึงพาตัว เดวิด เบ็คแฮม (ฟรี, จาก แอลเอ แกแล็กซี่) เข้ามาสร้างสีสันในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง
อันที่จริง เม็ดเงินที่ลงทุนไป ก็ผลิดอกออกผลในทันที เป็นแชมป์ ลีก เอิง ที่ห่างหายไปจาก ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ เกือบ 20 ปี ส่วนใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ความที่เป็นทีมเพิ่งสร้างใหม่ ก็เลยยังไม่มีความคาดหวังอะไรมากนัก คาร์โล อันเชล็อตติ เข็นทีมไปสุดที่รอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ก็นับว่าร่วงไปแบบน่าเสียดายไม่น้อย
เกมแรกของรอบ 8 ทีม แบลส มาตุยดี้ ลั่นสกอร์ตีเสมอ บาร์เซโลน่า 2-2 ช่วงทดเจ็บ 90+4 แล้วจากนั้นเลกสองที่ต้องออกไปเยือน คัมป์ นู ฮาเวียร์ ปาสตอเร่ อุตส่าห์สอยตาข่ายนำ 1-0 แล้วตอนต้นครึ่งหลัง แต่หลังบ้านปารีสฯ ก็ต้านไม่อยู่ เสียประตู 1-1 ให้ เปโดร โรดริเกซ สุดท้ายจบที่สกอร์นี้ และเป็น บาร์ซ่า ที่ได้ไปต่อจากข้อได้เปรียบเรื่องกฎประตูทีมเยือน (3-3) เท่านั้น
2016/17 ซื้อนักเตะใหม่ 136 ล้านยูโร > ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย UCL
มองย้อนไปจากตรงนี้ บางทีอาจพูดได้ว่า เปแอสเช ถูก "ย้อมแมว" ขายนักเตะมาให้ในราคาเกินจริงไปเยอะเลย ไม่ว่าจะ เกอร์เซกอร์ซ ครีโชเวียค (เซบีย่า) 25 ล้านยูโร, เฆเซ่ โรดริเกซ (เรอัล มาดริด) 25, ยูเลียน ดรักซ์เลอร์ (โวล์ฟสบวร์ก) 34 หรือ กอนซาโล่ เกเดส (เบนฟิก้า) 30 จนสองตลาดของซีซั่นนั้น พวกเขาควักกระเป๋ารวมถึง 136 ล้านยูโร แม้จะถอนทุนคืนมาได้ไม่น้อยจากการขาย ดาวิด ลุยซ์ (เชลซี, 38.5) หรือ ลูก้าส์ ดีญ (บาร์ซ่า, 16.5) ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม อูไน เอเมรี่ ยังไว้ลาย "สิงห์บอลถ้วย" ได้อยู่ ด้วยการกว้านแชมป์บอลถ้วยในประเทศทั้ง 3 รายการแบบครบๆ ไม่ว่าจะ โทรฟี่ เดส์ ชองปิยงส์ หรือซูเปอร์คัพแดนน้ำหอม, เฟร้นช์ ลีก คัพ และ เฟร้นช์ คัพ
เพียงแต่อีกถ้วยที่ไม่ยอมมา คือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
นี่คือการตกรอบครั้งประวัติศาสตร์ที่แฟนบอลจดจำได้ขึ้นใจ และกลายเป็นเรื่องเล่าเคล้าน้ำชาของฟุตบอลรายการนี้เสมอไป
นั่นเพราะ เปแอสเช แหย่เท้าข้างหนึ่งเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายแล้ว หลังจากเปิดบ้านกราดยิง บาร์เซโลน่า ถึง 4-0 ในเลกแรกของรอบ 16 ทีม อังเคล ดิ มาเรีย ซัดสอง ที่เหลือ ยูเลียน ดรักซ์เลอร์ กับ เอดินสัน คาวานี่ จัดคนละเม็ด
แต่ปรากฏว่า "ฝันร้าย" เกิดขึ้นกับ เปแอสเช อย่างหนักกับผลของเลกสองที่ คัมป์ นู ที่เอาเข้าจริงก็ยังหาเหตุผลไม่ได้จนทุกวันนี้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่
1-0 หลุยส์ ซัวเรซ 3'
2-0 เลย์แว็ง คูร์กซาว่า (ยิงตัวเอง) 40'
3-0 ลิโอเนล เมสซี่ (จุดโทษ) 50'
3-1 เอดินสัน คาวานี่ 62'
4-1 เนย์มาร์ 88'
5-1 เนย์มาร์ 90+1'
6-1 เซร์จี้ โรเบร์โต้ 90+5'
ต่อให้แพ้ 1-5 เปแอสเช ก็จะเป็นฝ่ายเข้ารอบอยู่ดีจากผลรวม 5-5 และชนะประตูทีมเยือน แต่ดันมี 1-6 ของ เซร์จี้ โรเบร์โต้ มาปิดเกมเข้าให้ตอนทดเจ็บนาทีที่ 5
เปแอสเช จึงตกรอบจากการนำหน้า 4-0 เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ถ้วยยุโรป!
2018/19 ซื้อนักเตะใหม่ 262 ล้านยูโร > ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย UCL
โหดมากแม่... ปารีสฯ เทโครม 262 ล้านยูโร เสริมทัพนักเตะใหม่แค่ 6 คน แต่ว่าหนึ่งในนั้นก็คือการทุ่ม 180 ล้าน ซื้อขาด คีลิยัน เอ็มบัปเป้ จาก โมนาโก นั่นเอง
จ่ายขนาดนี้ ถ้าไม่แชมป์ก็แปลกแล้ว -- โธมัส ทูเคิ่ล ไม่พลาดในการพาทีมเขมือบแชมป์ ลีก เอิง แบบทิ้งห่างรองแชมป์ ลีลล์ ไกลลิบ 91:75 คะแนน
ทว่าภาพรวมของซีซั่นนั้น ก็อาจตีได้ว่า "ล้มเหลว" เมื่อแชมป์ลีกกลายเป็นเพียงโทรฟี่เดียวที่ทำได้ (บวกกับซูเปอร์คัพก่อนเปิดซีซั่น)
เพราะเหมือนฝันร้ายถูกผลิตซ้ำ ทั้งที่ก็ผ่านมาแล้วเป็นปี
เลกแรกของรอบ 16 ทีมสุดท้าย เปแอสเช บุกตบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา นิ่มๆ 2-0 ถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยประตูจาก เพรสแนล คิมเพมเบ้ (53') และ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ (60')
2-0 นอกบ้าน สถิติบอกว่า ไม่เคยมีทีมไหนพลาดท่าตกรอบจากจุดนี้มาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น เลกสองที่ฝรั่งเศส แมนฯ ยูไนเต็ด ยังต้องมาเยือนแบบไม่เต็มร้อย ขาดทั้งตัวเจ็บตัวแบนหลายราย แต่ปรากฏว่า ปีศาจแดง จู่โจมเข้าเป้าจนได้ 2 ประตูจาก โรเมลู ลูกากู อย่างรวดเร็วในครึ่งชั่วโมงแรก ยังดีที่ ฆวน เบร์นัต ยิงประตูคั่นกลาง 1-1 ได้
ครึ่งหลัง เกมทำท่าว่าจะไม่มีประตูเพิ่ม และถ้าจบตรงนี้ เปแอสเช จะไปต่อที่สกอร์รวม 3-2
แต่แล้ว... 90+1 คิมเพ็มเบ้ โดนจับแฮนด์บอลจังหวะบล็อกลูกยิง ดีโอโก้ ดาโล่ต์ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด รับหน้าที่สังหารจุดโทษอย่างมั่นใจผ่าน จานลุยจิ บุฟฟ่อน เสียบมุมเข้าไป พลิกนรกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เข้ารอบด้วยกฎประตูทีมเยือน 3-3
2019/20 ซื้อนักเตะใหม่ 94.5 ล้านยูโร > รองแชมป์ UCL
เปลี่ยนทีมเยอะทั้งขาเข้าขาออก อิดริสซ่า กาน่า เกย์, เคย์เลอร์ นาวาส, อันเดร์ เอร์เรร่า, ปาโบล ซาราเบีย ฯลฯ ก้าวเท้าเข้ามาสวนทางกับพวก โจวานี่ โล เซลโซ่, จานลุยจิ บุฟฟ่อน, คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู, ทิโมธี เวอาห์ ฯลฯ ที่ลาทีมไป
แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานการณ์ของไวรัสวายร้าย โควิด-19 ทำให้ฟุตบอลต้องถูกสั่งเว้นวรรคและต้องปรับเปลี่ยนเฉพาะหน้า เช่น ลีก เอิง ถูกตัดจบใน 28 แมตช์ (ปารีสแชมป์) หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็มีการปรับให้รอบน็อกเอาต์ ทั้ง 8 ทีมสุดท้ายและรอบตัดเชือก เหลือเตะกันเกมเดียว ไม่ใช่เหย้าเยือนเหมือนปีปกติ แถมห้ามแฟนบอลเข้าชม
นั่นกลายเป็นโอกาสทองของ เปแอสเช ที่ยังอยู่ในมือ โธมัส ทูเคิ่ล ทันที
สนามกลางที่ ลิสบอน, โปรตุเกส รอบ 8 ทีมสุดท้าย (เตะนัดเดียว) เปแอสเช ผ่าน อตาลันต้า 2-1 มาร์กินญอส กับ เอริก มักซิม ชูโป-โมติง ยิงโกงความตายนาทีบาป 90 กับ 90+3 ส่วนรอบตัดเชือก (นัดเดียวเช่นกัน) ปารีสฯ งัดฟอร์มเทพมากราดยิง แอร์เบ ไลป์ซิก 3-0 มาร์กินญอส, ดิ มาเรีย, เบร์นัต จัดคนละตุง
นัดชิงชนะเลิศที่ เอสตาดิโอ ดา ลุซ ซึ่งลงเตะกันอย่างเหงาๆ ไร้เสียงเชียร์จากฝูงชน เปแอสเช ลงชิงถ้วยกับ บาเยิร์น มิวนิค
แต่แม้จะขนอาวุธหนักลงทั้ง เอ็มบัปเป้, เนย์มาร์, ดิ มาเรีย, เลอันโดร ปาเรเดส และคนอื่นๆ ก็ปรากฏว่า แนวรุกของปารีสฯ ไม่อาจฝ่าด่านแนวรับพี่เสือเข้าไปเบิกสกอร์ได้แม้สักลูก ก่อนในที่สุดจะโดนสอยเข้าปลายคาง ด้วยประตูโทนของ คิงสลี่ย์ โกม็อง กลางครึ่งหลัง
เปแอสเช เข้าใกล้แชมป์ UCL แค่เอื้อม...แต่ก็ไปไม่ถึง
2022/23 ซื้อนักเตะใหม่ 139 ล้านยูโร > ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย UCL
ปีที่ 2 ของ ลิโอเนล เมสซี่ ในปารีส (ค่าตัวฟรี แต่ค่าจ้างเบิ้มๆ) มีแข้งใหม่ตามเข้าสมทบ อาทิ นูโน่ เมนเดส (สปอร์ติ้ง), ฟาเบียน รูอิซ (นาโปลี), เรนาโต้ ซานเชส (ลีลล์), วิตินญ่า (ปอร์โต้), คาร์ลอส โซเลร์ (บาเลนเซีย) ที่แม้ทั้งหมดจะดูชื่อชั้นไม่โดดเด่นนัก แต่ก็ผลาญเงินไปรวม 139 ล้านยูโร
ความแหม่งๆ ของก้าวเดินใน UCL ปีนี้ของ เปแอสเช เริ่มมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ที่แม้จะไร้พ่ายตลอด 6 นัด (ชนะ 4 เสมอ 2) สองในนั้นคือการตบ ยูเวนตุส เหย้าเยือน (จน ยูเว่ ตกรอบแรก) และหนึ่งในนั้นมีเกมถล่ม มัคคาบี้ ไฮฟา 7-2 เมสซี่-เอ็มบัปเป้-เนย์มาร์ ยิงได้ทุกคน
แต่ปรากฏว่า เปแอสเช เข้ารอบด้วยการเป็นที่ 2 ของกลุ่มเท่านั้น เมื่อทั้งแต้ม, เฮดทูเฮด, ผลต่าง, ประตูได้, ประตูเสีย เท่ากับ เบนฟิก้า ทั้งหมด แต่เป็น เบนฟิก้า ที่ดีกว่าในเรื่อง "ประตูได้จากการเป็นทีมเยือน" 9:6
การเป็นที่ 2 ลาก เปแอสเช ให้มาจ๊ะเอ๋กับกระดูกชิ้นโต คู่ชิงแชมป์เมื่อปี 2020 อย่าง บาเยิร์น มิวนิค
(ส่วน เบนฟิก้า? เจอ คลับ บรูช -- และชนะผ่านอย่างง่ายๆ สกอร์รวม 7-1 ไง!)
เลกแรกของรอบ 16 ทีม ขนาดว่ามี เมสซี่ ก็ไม่ช่วย ประวัติศาสตร์ยังคงซ้ำรอยเมื่อ เปแอสเช แพ้ บาเยิร์น 0-1 คิงสลี่ย์ โกม็อง สังหารชัยอีกแล้ว
ส่วนเลกสองเมื่อคืนที่ผ่านมา คริสตอฟ กัลติเยร์ อาจมีข้ออ้างเรื่องตัวเจ็บ (เนย์มาร์, เรนาโต้, คิมเพ็มเบ้) แต่นอกจากพลิกกระดานไม่สำเร็จแล้ว ก็ยังโดนย้ำแผล พ่ายซ้ำไปอีก 0-2 แบบที่ไม่ได้แสดงถึงวี่แววว่าจะกลับมาได้สักเท่าไหร่เลย
เช่นเดิม ยังคงตกที่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เพียงเท่านั้น
บทสรุปของการไล่ล่าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สำหรับ เปแอสเช คือมันยังคงเป็น "เส้นขนาน" อยู่ต่อไป ไม่แม้ว่าจะลงทุนจ่ายเสริมทัพมาปีละเป็นสิบเป็นร้อยล้านยูโร สิบปีติดต่อกัน หรือไม่แม้ว่าพวกเขาจะมีสุดยอดดาวเตะเบอร์ 1 โลกอย่าง เมสซี่ ไม่แม้ว่าจะมีดาวยิงตัวฉกาจอย่าง เอ็มบัปเป้ อยู่ในทีม ก็ตาม
ความล้มเหลวในแต่ละปี อาจมีปัจจัยฉุดรั้งต่างๆ แตกต่างกันไป แต่ก็ชัดเจนว่ามันจะมี "บางอย่าง" ที่เป็นตัวขัดขวาง บางครั้งก็ข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อย บางทีก็ไม่มีอะไรนอกจากโชคดวง
จนที่สุดแล้วมันกลายเป็นคำถามตลกร้ายไปเสีย ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจริงได้ก่อนกัน ระหว่าง...
ก. อังกฤษ ได้แชมป์โลกสมัย 2
กับ ข. ปารีสฯ ได้แชมป์ UCL สักครั้ง!